แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ไม่มีเจตนาจะไม่มาศาลตามกำหนดนัดเพราะรถที่จำเลยที่ 1 ใช้เป็นพาหนะเดินทางมาศาลเกิดอุบัติเหตุอันเป็นเหตุสุดวิสัยมิอาจก้าวล่วงเสียได้ การที่ศาลว่าไม่มีเหตุสมควรจะไต่สวนคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1จึงไม่เห็นชอบด้วย เพราะตาม ป.วิ.พ.นั้น เหตุที่จำเลยที่ 1 ไม่จงใจขาดนัดพิจารณา ศาลจะต้องไต่สวนและหากได้ความว่าจำเลยที่ 1 ไม่จงใจขาดนัดพิจารณา ศาลจะต้องดำเนินการพิจารณาคดีใหม่ ถือได้ว่าเป็นการคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้วว่า กรณีที่ศาลชั้นต้นยกคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลยที่ 1 นั้น มิใช่เพราะกรณีฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนยากจนแต่เป็นเพราะจำเลยที่ 1 ไม่มาตามกำหนดนัดอันเป็นการขาดนัดพิจารณา ซึ่งศาลชั้นต้นจะต้องไต่สวนฟังข้อเท็จจริงเสียก่อนว่า จำเลยที่ 1 ไม่จงใจขาดนัดพิจารณาหรือไม่ หากเป็นความจริงก็ต้องดำเนินการพิจารณาคดีใหม่
ศาลชั้นต้นยกคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลยที่ 1 โดยมิได้ระบุว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งมีฐานะเป็นโจทก์ตามฟ้องอุทธรณ์ขาดนัดพิจารณาและให้จำหน่ายคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลยที่ 1 ออกเสียจากสารบบความ จึงมิใช่คำสั่งตาม ป.วิ.พ.มาตรา 201แต่เป็นการสั่งสืบเนื่องมาจากจำเลยที่ 1 ไม่มาศาลตามกำหนดนัด จึงเท่ากับศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีพยานมานำสืบให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนยากจนตามคำร้องขอ เป็นการยกคำร้องขอตามมาตรา 156 วรรคสาม ซึ่งจำเลยที่ 1 มีสิทธิดำเนินการต่อไปได้แต่เฉพาะที่บัญญัติไว้ตามมาตรา 156 วรรคสี่หรือวรรคห้าเท่านั้น หรือหากเห็นว่าคำสั่งศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยประการใดก็ย่อมอุทธรณ์คำสั่งนั้นต่อศาลอุทธรณ์ตามมาตรา 223 ประกอบด้วยมาตรา 229 จำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจร้องขอให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาใหม่ไม่ ทั้งไม่ใช่กรณีขาดนัดตามมาตรา 202 ซึ่งจะขอพิจารณาคดีใหม่ได้ตามมาตรา 207 ประกอบมาตรา 209
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ พร้อมกับยื่นคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถา ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนคำร้อง ในวันนัดไต่สวน วันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๓๓ เวลา ๑๓.๓๐ นาฬิกา คงมีแต่ทนายโจทก์มาศาล ฝ่ายจำเลยที่ ๑ ทราบวันนัดโดยชอบแล้วไม่มาศาล ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลยที่ ๑ และให้จำเลยที่ ๑ เสียค่าธรรมเนียมศาลภายใน ๑๕ วัน หลังจากนั้น๒ วัน จำเลยที่ ๑ ยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ ๑ มิได้จงใจไม่มาศาล กล่าวคือจำเลยที่ ๑ เดินทางจากจังหวัดเชียงใหม่เมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๓๓ เวลา ๒๐ นาฬิกา ซึ่งปกติต้องถึงกรุงเทพมหานครเวลา ๘ นาฬิกาของวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๓๓ แต่รถที่จำเลยที่ ๑ เดินทางมาเกิดอุบัติเหตุกลางทางกว่าจะแก้ไขเสร็จก็ล่วงเลยเวลานัดของศาลแล้วโดยจำเลยที่ ๑ เดินทางถึงกรุงเทพมหานครเมื่อเวลา ๒๐ นาฬิกา ของวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๓๓ ขอให้ศาลไต่สวนคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลยที่ ๑ ใหม่
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ยกอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยที่ ๑
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่า จำเลยที่ ๑ ไม่มีเจตนาที่จะไม่มาศาลตามกำหนดนัด เหตุที่จำเลยที่ ๑ ไม่สามารถมาศาลตามกำหนดนัดเพราะรถที่จำเลยที่ ๑ ใช้เป็นพาหนะในการเดินทางมาศาลเกิดอุบัติเหตุอันเป็นเหตุสุดวิสัยมิอาจก้าวล่วงเสียได้ การที่ศาลว่าไม่มีเหตุสมควรจะไต่สวนคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ จึงไม่เห็นชอบด้วย เพราะตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งนั้นเหตุที่จำเลยที่ ๑ ไม่จงใจขาดนัดพิจารณา ศาลจะต้องไต่สวนและหากได้ความว่าจำเลยที่ ๑ ไม่จงใจขาดนัด ศาลจะต้องดำเนินการพิจารณาคดีใหม่นั้นพอถือได้ว่าเป็นการคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้วว่า กรณีที่ศาลชั้นต้นยกคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลยที่ ๑ มิใช่เพราะกรณีฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๑ เป็นคนยากจนแต่เป็นเพราะเหตุจำเลยที่ ๑ ไม่มาศาลตามกำหนดนัดอันเป็นการขาดนัดพิจารณา ซึ่งศาลชั้นต้นจะต้องไต่สวนฟังข้อเท็จจริงเสียก่อนว่า จำเลยที่ ๑ ไม่จงใจขาดนัดพิจารณาหรือไม่ หากเป็นความจริงก็ต้องดำเนินการพิจารณาคดีใหม่ เห็นว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นนั้นมิได้ระบุว่า จำเลยที่ ๑ ซึ่งมีฐานะเป็นโจทก์ตามฟ้องอุทธรณ์ขาดนัดพิจารณาและให้จำหน่ายคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลยที่ ๑ออกเสียจากสารบบความจึงมิใช่คำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา๒๐๑ ดังนั้นที่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลยที่ ๑ สืบเนื่องมาจากจำเลยที่ ๑ ไม่มาศาลตามกำหนดนัดจึงเท่ากับศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยที่ ๑ ไม่มีพยานมานำสืบให้เห็นว่า จำเลยที่ ๑ เป็นคนยากจนตามคำร้องขอนั่นเอง อันเป็นการสั่งยกคำร้องขอของจำเลยที่ ๑ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๕๖ วรรคสาม ซึ่งจำเลยที่ ๑มีสิทธิที่จะดำเนินการต่อไปได้แต่เฉพาะที่บัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๑๕๖ วรรคสี่ หรือ วรรคห้าเท่านั้น หรือหากเห็นว่า คำสั่งศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยประการใดจำเลยที่ ๑ ก็ชอบที่จะอุทธรณ์คำสั่งนั้นต่อศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๒๒๓ ประกอบด้วยมาตรา ๒๒๙ จำเลยที่ ๑ หามีอำนาจที่จะร้องขอให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลยที่ ๑ ใหม่ไม่ ทั้งไม่ใช่กรณีการขาดนัดตามประมวล-กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๐๒ ที่จำเลยที่ ๑ จะขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๐๗ ประกอบมาตรา ๒๐๙
พิพากษายืน.