แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น และให้ลงโทษจำคุกจำเลยแต่ละกระทงไม่เกินห้าปี ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยฎีกาว่า แม้จำเลยให้การรับสารภาพ โจทก์ก็ต้องนำพยานซึ่งเป็นผู้นำเงินไปชำระค่าธรรมเนียมและเป็นประจักษ์พยานเข้าสืบทั้งหมด เมื่อโจทก์นำพยานเข้าสืบตามฟ้องเพียง 6 ข้อ จึงฟังลงโทษจำเลยได้เพียง 6 ข้อนั้น เมื่อโจทก์ได้นำพยานบุคคลและพยานเอกสารเข้าสืบ ประกอบคำรับสารภาพของจำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 วรรคหนึ่งจนเป็นที่พอใจแก่ศาลชั้นต้นแล้วว่าจำเลยได้กระทำผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 ฐานเจ้าพนักงานเบียดบัง ยักยอก ซึ่งเป็นบทเฉพาะ ให้ลงโทษจำเลยเป็นความผิดต่างกระทง ในรายที่ได้กระทำ อันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันรวม 15 กระทง ฎีกาจำเลยในข้อนี้จึงเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟัง พยานหลักฐานของศาล เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และที่จำเลย ฎีกาขอให้ลงโทษในสถานเบาก็เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เช่นกัน ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่มีหน้าที่ในการซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาตัวทรัพย์ก็ดี เงินค่าธรรมเนียมที่จำเลย ยักยอกไม่ใช่ทรัพย์วัตถุมีรูปร่างที่จำเลยมีหน้าที่ซื้อทำ จัดการรักษาก็ดี เจ้าพนักงานจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 ต้องเบียดบังทรัพย์ ซึ่งเป็นวัตถุมีรูปร่างก็ดี จำเลยกรอกข้อความกำลังแรงม้าและจำนวนเงินเปลี่ยนแปลงในต้นฉบับใบเสร็จรับเงิน และในสมุดเงินสด โดยจำเลยแก้ไขเพียงครั้งเดียวในวันเวลา เดียวกัน ในตอนเย็นก่อนเลิกงานราชการ และก่อนที่จะส่งเงินค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้แก่เจ้าหน้าที่เก็บรักษาเงินเข้าเป็นประโยชน์ส่วนตัว จึงเป็นการเบียดบังยักยอกเงินค่าธรรมเนียมอันเป็นความผิดกรรมเดียวต่อเนื่องกันในแต่ละวันที่จำเลยยักยอกเงินค่าธรรมเนียมไปเป็นความผิดเพียง 8 กรรมตามวันที่ที่จำเลยยักยอกนั้นก็ดี เป็นฎีกาที่โต้เถียงข้อเท็จจริงว่า จำเลยมิได้มีเจตนากระทำความผิดฐานเจ้าพนักงานเบียดบังยักยอกและมิได้มีเจตนากระทำความผิดต่างกรรมต่างวาระกัน และเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายว่าการกระทำ ของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานเจ้าพนักงานยักยอกต่างกรรม ต่างวาระกันดังที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามา แต่การกระทำ ของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 เพียงบทเดียว และเพียง 3 กรรม นั้น ล้วนเป็นฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริงทั้งสิ้น ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147, 157, 162, 91
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันเรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกจำเลยรวม 15 กระทง กระทงละ 5 ปี รวมจำคุก 75 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยรวม 37 ปี 6 เดือน ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยกเสีย
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น และให้ลงโทษจำคุกจำเลยแต่ละกระทงไม่เกินห้าปีห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งที่จำเลยฎีกาว่า แม้จำเลยให้การรับสารภาพ โจทก์ก็ต้องนำพยานซึ่งเป็นผู้นำเงินไปชำระค่าธรรมเนียมและเป็นประจักษ์พยานเข้าสืบทั้งหมด เมื่อโจทก์นำพยานเข้าสืบตามฟ้องเพียง 6 ข้อจึงฟังลงโทษจำเลยได้เพียง 6 ข้อนั้น เห็นว่าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 วรรคหนึ่งบัญญัติว่าในชั้นพิจารณาถ้าจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องศาลจะพิพากษาโดยไม่สืบพยานหลักฐานต่อไปก็ได้ เว้นแต่คดีที่มีข้อหาในความผิดซึ่งจำเลยรับสารภาพนั้น กฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างต่ำไว้ให้จำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไป ศาลต้องฟังพยานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้กระทำผิดจริง ดังนี้เมื่อโจทก์ได้นำพยานบุคคลและพยานเอกสารเข้าสืบประกอบคำรับสารภาพของจำเลยเป็นที่พอใจแก่ศาลชั้นต้นแล้วว่าจำเลยได้กระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 ฐานเจ้าพนักงานเบียดบัง ยักยอก ซึ่งเป็นบทเฉพาะ ให้ลงโทษจำเลยเป็นความผิดต่างกระทงในรายที่ได้กระทำ อันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันรวม 15 กระทง ฎีกาจำเลยในข้อนี้จึงเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และที่จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษในสถานเบาก็เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเช่นกัน ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่มีหน้าที่ในการซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาตัวทรัพย์ก็ดีเงินค่าธรรมเนียมที่จำเลยยักยอกไม่ใช่ทรัพย์วัตถุมีรูปร่างที่จำเลยมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ รักษาก็ดี เจ้าพนักงานจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 ต้องเบียดบังทรัพย์ซึ่งเป็นวัตถุมีรูปร่างก็ดี จำเลยกรอกข้อความกำลังแรงม้าและจำนวนเงินเปลี่ยนแปลงในต้นฉบับใบเสร็จรับเงินและในสมุดเงินสดโดยจำเลยแก้ไขเพียงครั้งเดียวในวันเวลาเดียวกัน ในตอนเย็นก่อนเลิกงานราชการ และก่อนที่จะส่งเงินค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้แก่เจ้าหน้าที่เก็บรักษาเงินเข้าเป็นประโยชน์ส่วนตัวจึงเป็นการเบียดบังยักยอกเงินค่าธรรมเนียมอันเป็นความผิดกรรมเดียวต่อเนื่องกันในแต่ละวัน ที่จำเลยยักยอกเงินค่าธรรมเนียมไปเป็นความผิดเพียง 8 กรรม ตามวันที่ที่จำเลยยักยอกนั้นก็ดีเป็นฎีกาที่โต้เถียงข้อเท็จจริงว่า จำเลยมิได้มีเจตนากระทำความผิดฐานเจ้าพนักงานเบียดบังยักยอกและมิได้มีเจตนากระทำความผิดต่างกรรมต่างวาระกัน และเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานเจ้าพนักงานยักยอกต่างกรรมต่างวาระกันดังที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามาแต่การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 เพียงบทเดียวและเพียง 3 กรรมนั้น ล้วนเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้น ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้น ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยมาเป็นการมิชอบศาลฎีการับวินิจฉัยให้ไม่ได้
พิพากษายกฎีกาของจำเลย