แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ผู้ร้องเป็นผู้จะซื้อที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างในที่ดินจากจำเลยโดยผู้ร้องได้ชำระราคาบางส่วนและได้เข้าครอบครองทรัพย์สินตามสัญญาจะซื้อขายแล้ว ผู้ร้องเป็นผู้จะซื้อมีสิทธิเพียงเรียกให้จำเลยซึ่งเป็นผู้จะขายโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตามสัญญาจะซื้อขายให้แก่ผู้ร้องโดยผู้ร้องต้องชำระราคาที่เหลือ การเข้าครอบครองก่อนการโอนกรรมสิทธิ์เป็นการเข้าครอบครองโดยอาศัยสิทธิของจำเลย กรณีถือไม่ได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้มีอำนาจพิเศษตาม ป.วิ.พ. มาตรา 296 จัตวา (3) ผู้ร้องจึงเป็นบริวารของจำเลยและไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้งดการบังคับคดี
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 3,905,461.59 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12 ต่อปี ในต้นเงิน 3,439,785.86 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 7 มีนาคม 2551) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 41562 พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์ หากไม่พอชำระให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์จนครบถ้วน จำเลยไม่ชำระ โจทก์ขอให้บังคับคดีและศาลชั้นต้นออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเมื่อวันที่ 21 มกราคม 2553 ต่อมาวันที่ 10 พฤษภาคม 2554 บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด ยื่นคำร้องว่าได้รับโอนสินทรัพย์ซึ่งรวมถึงสิทธิเรียกร้องในคดีนี้มาจากโจทก์ ขอเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 41562 พร้อมสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่ 20 ที่มีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์และประกาศขายทอดตลาด บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด ผู้เข้าสวมสิทธิเป็นคู่ความแทนโจทก์เป็นผู้ซื้อทรัพย์พิพาทได้ และต่อมายื่นคำร้องลงวันที่ 17 ตุลาคม 2555 ต่อศาลชั้นต้น ขอให้ออกคำบังคับให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างภายใน 30 วัน แต่จำเลยและบริวารไม่ปฏิบัติตาม ศาลชั้นต้นออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดีปิดประกาศที่ทรัพย์พิพาทกำหนดเวลาให้ผู้ที่อ้างว่าไม่ใช่บริวารของจำเลยยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษต่อศาลภายในกำหนดเวลา 8 วัน นับแต่วันที่ปิดประกาศ มิฉะนั้นจะถือว่าเป็นบริวารจำเลยและเจ้าพนักงานบังคับคดีจะดำเนินการบังคับคดีตามกฎหมายต่อไป
วันที่ 30 ตุลาคม 2556 ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องมิใช่บริวารของจำเลย ผู้ร้องได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้างจากจำเลยเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2556 ผู้ร้องได้ชำระเงินมัดจำ จำนวน 200,000 บาท ให้จำเลยแล้ว และได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้างเรื่อยมานับแต่วันที่ทำสัญญาจะซื้อจะขายจนถึงปัจจุบัน ขอให้ศาลมีคำสั่งให้งดการบังคับคดี
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งลงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2556 เห็นว่า ขณะที่ผู้ร้องทำสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์กับจำเลย ทรัพย์ดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด ไม่ใช่จำเลย ดังนั้น ผู้ร้องจึงไม่อาจได้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์ดังกล่าวได้ จึงไม่ใช่ผู้ที่มีอำนาจพิเศษที่จะสามารถยื่นคำร้องฉบับนี้ได้ ให้ยกคำร้อง แจ้งคำสั่งให้ผู้ร้องทราบ
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาผู้ร้องว่า ผู้ร้องเป็นผู้มีอำนาจพิเศษจึงไม่ใช่บริวารของจำเลยและมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้งดการบังคับคดีหรือไม่ ข้อเท็จจริงปรากฏตามคำร้องและเอกสารแนบท้ายคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นผู้จะซื้อที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างในที่ดินจากจำเลยโดยผู้ร้องได้ชำระราคาบางส่วนและได้เข้าครอบครองทรัพย์สินตามสัญญาจะซื้อขายแล้วตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม 2556 ผู้ร้องเป็นผู้จะซื้อที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างในที่ดินจากจำเลยโดยผู้ร้องได้ชำระราคาบางส่วนและได้เข้าครอบครองทรัพย์สินตามสัญญาจะซื้อขายแล้วตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม 2556 ผู้ร้องเป็นผู้จะซื้อมีสิทธิเพียงเรียกให้จำเลยซึ่งเป็นผู้จะขายโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตามสัญญาจะซื้อขายให้แก่ผู้ร้องโดยผู้ร้องต้องชำระราคาที่เหลือ การเข้าครอบครองก่อนการโอนกรรมสิทธิ์เป็นการเข้าครอบครองโดยอาศัยสิทธิของจำเลย กรณีถือไม่ได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้มีอำนาจพิเศษตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 จัตวา (3) ผู้ร้องจึงเป็นบริวารของจำเลยและไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้งดการบังคับคดี ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ