คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6218/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตาม ป.พ.พ. มาตรา 665 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ผู้รับฝากจำต้องคืนทรัพย์สินซึ่งรับฝากไว้นั้นให้แก่ผู้ฝาก หรือทรัพย์สินนั้นฝากในนามของผู้ใด คืนให้แก่ผู้นั้น…” ซึ่งบัญชีเงินฝากพิพาทมีชื่อจำเลยกับ ส. เป็นเจ้าของบัญชี โดยไม่ปรากฏข้อความว่าจำเลยกับ ส. เปิดบัญชีเงินฝากพิพาทดังกล่าวแทนผู้ร้อง และไม่ปรากฏว่าธนาคารผู้รับฝากรู้อยู่ก่อนแล้วว่า จำเลยกับ ส. เป็นตัวแทนของผู้ร้อง ธนาคารผู้รับฝากจึงต้องคืนเงินในบัญชีเงินฝากพิพาทให้แก่จำเลยกับ ส. ตามบทบัญญัติดังกล่าว จำเลยกับ ส. เท่านั้นจึงจะมีสิทธิเบิกถอนเงินออกจากบัญชีพิพาทดังกล่าวได้ ที่ผู้ร้องนำสืบว่า จำเลยกับ ส. นำเงินของผู้ร้องเข้าฝากในบัญชีเงินฝากพิพาทในนามของจำเลยกับ ส. นั้น เมื่อเป็นกรณีการฝากเงิน ซึ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 672 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า ผู้รับฝากไม่พึงต้องส่งคืนเป็นเงินทองตราอันเดียวกันกับที่ฝาก ผู้รับฝากมีสิทธิเอาเงินนั้นออกใช้ก็ได้ ฉะนั้นเงินที่ฝากจึงตกเป็นของธนาคาร เมื่อจำเลยกับ ส. ใช้สิทธิเรียกร้องเอาเงินที่ฝากจากธนาคาร ธนาคารก็ไม่จำต้องคืนเงินตราอันเดียวกับที่รับฝาก ธนาคารคงมีแต่หน้าที่จะต้องคืนเงินให้ครบจำนวนเท่านั้น จำเลยกับ ส. เป็นผู้ทำสัญญาเปิดบัญชีเงินฝากกับธนาคารในนามของจำเลยกับ ส. ธนาคารผู้รับฝากจึงต้องคืนเงินฝากพร้อมดอกเบี้ยให้จำเลยกับ ส. ซึ่งเป็นผู้ฝาก ผู้ร้องมิได้เป็นคู่สัญญากับธนาคารด้วย จึงไม่มีสิทธิเรียกคืนเงินที่รับฝากและไม่มีสิทธิขอให้ถอนอายัดบัญชีเงินฝากพิพาทดังกล่าว

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากธนาคารแห่งประเทศไทยมีคำสั่งอายัดบัญชีเงินฝากธนาคารไทยธนาคาร จำกัด (มหาชน) สาขาทองหล่อ บัญชีเลขที่ 031-2-17981-2, 031-1-03895-8, 031-1-03896-6, 031-1-03897-4 และ 031-1-03947-5 มีชื่อนายวีระ เป็นเจ้าของร่วม รวม 5 บัญชี โดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ.2522 มาตรา 75 เตรส ต่อมาพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องนายวีระ เป็นจำเลย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 75 ตรี, 75 สัตต, 75 ทวาทศ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย 243,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ซิทก้า จำกัด (มหาชน) ผู้เสียหาย ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ.2522 มาตรา 75 ตรี, 75 สัตต, 75 ทวาทศ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท โดยความผิดตามมาตรา 75 ตรี และมาตรา 75 สัตต มีอัตราโทษเท่ากัน จึงให้ลงโทษตามมาตรา 75 ตรี จำคุก 5 ปี และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย 73,000,000 บาท แก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ซิทก้า จำกัด (มหาชน) ผู้เสียหาย จำเลยฎีกา
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งอายัดบัญชีเงินฝากพิพาททั้ง 5 บัญชี
โจทก์ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า เงินในบัญชีเงินฝากพิพาททั้ง 5 บัญชี ที่ถูกอายัดไว้เป็นของผู้ร้องหรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 665 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ผู้รับฝากจำต้องคืนทรัพย์สินซึ่งรับฝากไว้นั้นให้แก่ผู้ฝาก หรือทรัพย์สินนั้นฝากในนามของผู้ใด คืนให้แก่ผู้นั้น…” ซึ่งบัญชีเงินฝากพิพาทดังกล่าวมีชื่อจำเลยกับนางสุภัทราเป็นเจ้าของบัญชี โดยไม่ปรากฏข้อความว่าจำเลยกับนางสุภัทราเปิดบัญชีเงินฝากพิพาทดังกล่าวแทนผู้ร้อง และไม่ปรากฏว่าธนาคารผู้รับฝากรู้อยู่ก่อนแล้วว่าจำเลยกับนางสุภัทราเป็นตัวแทนของผู้ร้อง ธนาคารผู้รับฝากจึงต้องคืนเงินในบัญชีเงินฝากพิพาทให้แก่จำเลยกับนางสุภัทราตามบทบัญญัติดังกล่าว จำเลยกับนางสุภัทราเท่านั้นจึงจะมีสิทธิเบิกถอนเงินออกจากบัญชีพิพาทดังกล่าวได้ ที่ผู้ร้องนำสืบว่า จำเลยกับนางสุภัทรานำเงินของผู้ร้องเข้าฝากในบัญชีเงินฝากพิพาทในนามของจำเลยกับนางสุภัทรานั้น เมื่อเป็นกรณีการฝากเงิน ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 672 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า ผู้รับฝากไม่พึงต้องส่งคืนเป็นเงินทองตราอันเดียวกันกับที่ฝาก ผู้รับฝากมีสิทธิเอาเงินนั้นออกใช้ก็ได้ ฉะนั้นเงินที่ฝากจึงตกเป็นของธนาคาร เมื่อจำเลยกับนางสุภัทราใช้สิทธิเรียกร้องเอาเงินที่ฝากจากธนาคาร ธนาคารก็ไม่จำต้องคืนเงินตราอันเดียวกับที่รับฝาก ธนาคารคงมีแต่หน้าที่จะต้องคืนเงินให้ครบจำนวนเท่านั้น จำเลยกับนางสุภัทราเป็นผู้ทำสัญญาเปิดบัญชีเงินฝากกับธนาคารในนามของจำเลยกับนางสุภัทรา ธนาคารผู้รับฝากจึงต้องคืนเงินฝากพร้อมดอกเบี้ยให้จำเลยกับนางสุภัทราซึ่งเป็นผู้ฝาก ผู้ร้องมิได้เป็นคู่สัญญากับธนาคารด้วย ไม่มีสิทธิเรียกคืนเงินที่รับฝากไว้จากบัญชีเงินฝากที่เปิดไว้ในนามของจำเลยกับนางสุภัทราตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 665 และมาตรา 672 ผู้ร้องจึงมิใช่เจ้าของเงินฝากตามบัญชีเงินฝากพิพาทที่ถูกอายัดไว้ และไม่มีสิทธิขอให้ถอนอายัดบัญชีเงินฝากพิพาทดังกล่าว ส่วนสิทธิเรียกร้องระหว่างผู้ร้องกับจำเลยและนางสุภัทรามีอย่างไรก็เป็นเรื่องที่จะต้องว่ากล่าวกันต่างหาก สำหรับฎีกาข้ออื่นของผู้ร้องนั้นไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องของผู้ร้องมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share