แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผ.ยกที่พิพาทให้มัสยิดโจทก์ โจทก์ครอบครองเก็บค่าเช่าตลอดมา ผ.ถึงแก่กรรมโดยไม่ได้จดทะเบียนยกให้ เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีเรื่องครอบครองปรปักษ์ กรรมการโจทก์จึงประชุมให้จำเลยทั้งสองรับโอนที่ดินพิพาทในฐานะทายาทของ ผ. เสียก่อน แล้วให้จำเลยทั้งสองโอนให้โจทก์ จำเลยทั้งสองรับโอนที่ดินพิพาทในฐานะทายาทแล้ว จำเลยที่ 1 ไม่ยอมโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ ดังนี้ จำเลยที่ 1 มีชื่อในโฉนดก็เพื่อความสะดวกในการที่จะโอนให้โจทก์ต่อไป ไม่มีสิทธิ์ใดๆ ในที่พิพาท โจทก์ชอบที่จะฟ้องขอให้เพิกถอนพฤติกรรมการรับโอนของจำเลยที่ 1 ได้
โจทก์เป็นมัสยิดอิสลามการได้ที่ดินมาของโจทก์ต้องได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เมื่อยังไม่ปรากฏว่าได้รับอนุญาตแล้ว กรณีก็ไม่อาจบังคับตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ที่ขอให้ใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของที่พิพาทในโฉนดได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า นางเผือก ทองทา ยกกรรมสิทธิ์ที่ดิน ๖ โฉนด ให้แก่มัสยิดโจทก์ โจทก์ครอบครองมาจนได้กรรมสิทธิ์ นางเผือกถึงแก่กรรมแล้วต่อมาจำเลยทั้งสองหลอกลวงให้ลงชื่อจำเลยทั้งสองรับมรดกนางเผือกก่อน แล้วให้จำเลยทั้งสองโอนให้โจทก์อีกต่อหนึ่ง จำเลยทั้งสองรับโอนมรดกที่ดินพิพาทแล้วจำเลยที่ ๑ ไม่โอนให้โจทก์ ต่อมาพบพินัยกรรมที่นางเผือกทำยกที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ จำเลยที่ ๑ ทราบแล้วก็เพิกเฉย จึงขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนของจำเลย ถอนชื่อจำเลยทั้งสองออกจากโฉนดที่ดินดังกล่าวแล้วใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของ ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง
จำเลยที่ ๑ ให้การและเพิ่มเติมคำให้การว่า นางเผือกมิได้ยกที่ดินพิพาทให้โจทก์ โจทก์ไม่ได้ครอบครอง จำเลยที่ ๑ ครอบครองในฐานะทายาทของนางเผือกไม่โอนที่พิพาทให้โจทก์เพราะโจทก์ไม่ให้เงินจำเลยที่ ๑ ตามข้อตกลง พินัยกรรมขาดอายุความและเป็นโมฆะ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า ฟ้องโจทก์เป็นความจริง เพื่อมิให้โจทก์ต้องเสียค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความในการร้องขอต่อศาลเพื่อขอจดทะเบียนเป็นกรรมสิทธิ์ในฐานะครอบครองที่ดินเกิน ๑๐ ปี จำเลยทั้งสองจึงตกลงกับกรรมการโจทก์ให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ขอรับมรดกแล้วจะโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ ถ้าจำเลยที่ ๒ ทราบว่า นางเผือกทำพินัยกรรมไว้ จำเลยที่ ๒ จะไม่ลงชื่อรับมรดก
โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ ๒ ศาลสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ ๒
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีตามคำขอท้ายฟ้อง
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาอย่างเดียวกับศาลชั้นต้น แต่ให้บังคับเฉพาะจำเลยที่ ๑
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาฟังว่า นางเผือกทำพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองยกที่พิพาทให้โจทก์จริง ทั้งได้ยกให้โจทก์ครอบครองเก็บค่าเช่าตลอดมาจนกระทั่งถึงแก่กรรมแต่ไม่ได้จดทะเบียนยกให้ กรรมการโจทก์เห็นว่าต้องตั้งทนายดำเนินคดีเรื่องครอบครองที่พิพาทโดยปรปักษ์เป็นการเสียค่าใช้จ่ายมาก จึงทำตามที่จำเลยที่ ๑ เสนอ คือให้จำเลยที่ ๑ รับมรดกของนางเผือกเสียก่อน แล้วจำเลยที่ ๑ จะโอนที่พิพาทกลับคืนมาให้โจทก์ และวินิจฉัยว่าการที่จำเลยที่ ๑ มีชื่อในโฉนดทั้ง ๖ โฉนดดังกล่าวหาได้กระทบกระเทือนถึงสิทธิของโจทก์ตามพินัยกรรมไม่ เพราะจำเลยที่ ๑ มีชื่อในที่พิพาททั้ง ๖ โฉนดก็เพื่อความสะดวกที่จะโอนไปให้โจทก์ต่อไป โดยจำเลยที่ ๑ มิได้มีสิทธิใดๆ ในที่พิพาททั้ง ๖ โฉนดดังกล่าวแต่อย่างใด โจทก์ชอบที่จะฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนดังกล่าวเสียได้
ส่วนคำขอของโจทก์ที่ให้ใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของที่พิพาททั้ง ๖ โฉนดนั้น เห็นได้ว่าเป็นการได้มาซึ่งที่ดินของโจทก์ซึ่งเป็นมัสยิดอิสลาม การเช่นว่านี้ต้องได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตามพยานหลักฐานของโจทก์ได้ความแต่เพียงว่าอยู่ระหว่างรออนุญาต ยังไม่ปรากฏว่าได้รับอนุญาตแล้วหรือไม่ กรณีจึงไม่อาจบังคับตามคำขอของโจทก์ข้อนี้ได้
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า ให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินที่พิพาททั้ง ๖ โฉนดตามฟ้องเฉพาะจำเลยที่ ๑ ให้นางเผือก ทองทา เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ดังเดิม คำขอของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก