คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 618/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยตกลงขายที่พิพาทให้โจทก์ ได้ทำสัญญากู้กันไว้เท่าราคาที่ดิน จำเลยรับเงินไปจากโจทก์ครบถ้วนแล้วโดยจำเลยทำหนังสือมอบอำนาจให้ ส. โอนที่พิพาทให้โจทก์ต่อมาจำเลยกลับมีหนังสือถึงเจ้าพนักงานที่ดินบอกเลิกใบมอบอำนาจดังกล่าว ดังนี้ ข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยจึงเป็นสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน ซึ่งโจทก์มีสิทธิฟ้องร้องบังคับได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องว่า เมื่อปลายเดือนธันวาคม 2512 โจทก์ตกลงซื้อที่ดินโฉนดที่ 747 เนื้อที่ 48 ไร่ 3 งาน ซึ่งจำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของ ราคา 365,625บาท และที่ดินโฉนดที่ 981 เนื้อที่ 8 ไร่ 2 งาน 60 วา ซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของราคา 64,875 บาท โดยคิดราคาไร่ละ 7,500 บาท แต่โฉนดที่ดินทั้งสองแปลงจำเลยเอาไปประกันเงินกู้ไว้ จำเลยจึงทำสัญญากู้เงินโจทก์ 430,500 บาทจำเลยรับเงินกู้ส่วนหนึ่งเป็นเงิน 240,000 บาทไปชำระหนี้เพื่อเอาโฉนดที่ดิน2 ฉบับคืนมา ต่อมาประมาณเดือนกรกฎาคม 2513 จำเลยขอรับเงินกู้ที่ยังเหลืออยู่อีก 190,500 บาทไปชำระหนี้อีก โดยทำหนังสือมอบอำนาจให้จ่าสิบตำรวจสท้านเป็นผู้มีอำนาจโอนโฉนดที่ดินทั้งสองแปลงให้แก่โจทก์เป็นการหักหนี้กับเงินกู้เดิม โจทก์ตกลงชำระเงินกู้ที่เหลือและคืนสัญญากู้ให้จำเลย จำเลยทำหนังสือมอบอำนาจ 2 ฉบับให้โจทก์ยึดถือไว้พร้อมกับโฉนดที่ดิน แต่ใบมอบอำนาจที่จำเลยทำให้โจทก์ไว้ข้อความไม่สมบูรณ์ โจทก์จึงให้จำเลยลงข้อความให้สมบูรณ์และให้โอนที่ดินทั้งสองแปลงให้โจทก์วันที่ 23 เมษายน 2514 เมื่อถึงกำหนด โจทก์กับผู้รับมอบอำนาจไปที่สำนักงานที่ดินเพื่อทำการโอน จึงทราบจากเจ้าพนักงานว่าจำเลยที่ 1 มีหนังสือถึงเจ้าพนักงานบอกเลิกใบมอบอำนาจที่มอบให้จ่าสิบตำรวจสท้านทั้งสองฉบับ โดยจำเลยจะเป็นผู้โอนด้วยตนเอง เจ้าพนักงานที่ดินไม่อาจโอนที่ดินให้โจทก์ จำเลยจึงผิดสัญญาที่ดินทั้งสองแปลงมีราคาสูงขึ้นเป็นไร่ละ20,000 บาท เพราะทางราชการกำหนดทำทางหลวงผ่าน เมื่อจำเลยไม่ยอมโอน โจทก์จึงขาดประโยชน์จากราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นไร่ละ 12,500 บาท คิดเป็นค่าเสียหาย717,500 บาท และจำเลยเอาสัญญากู้เงินซึ่งกู้โจทก์ไป 430,500 บาท ทำให้โจทก์ขาดหลักฐานฟ้องร้อง จำเลยจึงต้องคืนเงินและใช้ดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ขอให้พิพากษาบังคับจำเลยทั้งสองโอนที่ดินตามฟ้องทั้งสองแปลงให้โจทก์ถ้าโอนไม่ได้ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย ให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินทั้งสองแปลง ถ้าไม่อาจบังคับได้ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงินกู้ 430,500 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และใช้ค่าเสียหาย 717,500 บาท

จำเลยทั้งสองให้การว่า เมื่อปลายปี พ.ศ. 2512 จำเลยที่ 1 ตกลงให้จ่าสิบตำรวจสท้านเป็นนายหน้าขายที่ดินพิพาทโฉนดที่ 747 และ 981 ตามฟ้องราคาไร่ละ 6,000 บาท จำเลยที่ 1 ทำหนังสือมอบอำนาจให้จ่าสิบตำรวจสท้าน2 ฉบับ โดยจำเลยที่ 1 เขียนกรอกข้อความลงในแบบพิมพ์หนังสือมอบอำนาจแต่ในช่องวันเดือนปีไม่ได้กรอกข้อความไว้ เพราะมิได้มีเจตนามอบอำนาจให้จ่าสิบตำรวจสท้านเป็นผู้มีอำนาจโอนกรรมสิทธิ์ ในช่องพยานมีพยานลงชื่อไว้คนเดียว ในช่องเรื่องและวันเดือนปีไม่ใช่ลายมือของจำเลยที่ 1 โจทก์เพิ่มเติมเอาเอง จำเลยไม่เคยทำหนังสือมอบอำนาจให้จ่าสิบตำรวจสท้านโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งสองแปลงให้โจทก์ จำเลยไม่เคยกู้เงินโจทก์และไม่เคยรับเงิน 240,000 บาทจากโจทก์ไปชำระเงินกู้ ไม่เคยรับเงิน 190,500 บาทจากโจทก์ การกู้เงินและการตกลงซื้อขายที่โจทก์อ้างมิได้ทำเป็นหนังสือ เป็นโมฆะโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องบังคับให้ขายที่ดินให้โจทก์ จำเลยสงสัยพฤติการณ์ของจ่าสิบตำรวจสท้าน จึงได้มีหนังสือถึงเจ้าพนักงานที่ดินบอกเลิกหนังสือมอบอำนาจ ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องเป็นเพียงคาดคะเน ราคาที่ดินไม่สูงเท่าที่โจทก์ฟ้อง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม โจทก์จำเลยทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินกัน ส่วนค่าเสียหายโจทก์เพียงคาดคะเนเอาเท่านั้น จึงไม่เสียหายพิพากษาให้จำเลยทั้งสองโอนที่ดินพิพาททั้งสองแปลงให้โจทก์ หากจำเลยไม่โอนให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย ถ้าการโอนมีเหตุขัดข้อง ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงิน 430,500 บาทพร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จให้โจทก์ คำขอนอกจากนี้ให้ยก

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยแล้วฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยทั้งสองตกลงขายที่พิพาททั้งสองแปลงให้โจทก์เป็นเงิน 430,500 บาท ได้ทำสัญญากู้กันไว้เท่าราคาที่ดินจำเลยรับเงินไปจากโจทก์ครบถ้วนแล้ว โดยจำเลยทั้งสองทำหนังสือมอบอำนาจให้จ่าสิบตำรวจสท้านโอนที่ดินให้โจทก์ทั้งสองแปลง ดังนั้น เมื่อโจทก์ชำระค่าที่ดินให้จำเลยแล้ว ข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยจึงเป็นสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน โจทก์มีสิทธิฟ้องร้องให้บังคับคดีได้

พิพากษายืน

Share