คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6178/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิมจำเลยรับราชการที่กรมวิเทศสหการโดยเริ่มรับราชการครั้งแรกที่หน่วยงานในท้องที่กรุงเทพมหานครและได้โอนมารับราชการที่มหาวิทยาลัยโจทก์ตั้งแต่วันที่16มกราคม2526ซึ่งขณะนั้นที่ทำการของโจทก์ตั้งอยู่ที่ทบวงมหาวิทยาลัยเขตพญาไทกรุงเทพมหานครต่อมาได้ย้ายที่ทำการไปอยู่ที่ตำบลบางพูดอำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรีการที่โจทก์ย้ายสำนักงานหรือที่ทำการจากท้องที่ในกรุงเทพมหานครไปอยู่ในท้องที่จังหวัดนนทบุรีโดยจำเลยต้องย้ายติดตามไปปฏิบัติราชการประจำที่สำนักงานแห่งใหม่ของโจทก์มีผลเท่ากับจำเลยได้รับคำสั่งให้เดินทางไปประจำสำนักงานแห่งใหม่ของโจทก์ในต่างท้องที่และการที่จำเลยเช่าบ้านอยู่นอกเขตท้องที่สำนักงานแห่งใหม่ของโจทก์ไม่อยู่ในข้อยกเว้นของมาตรา7วรรคหนึ่ง(1)ถึง(4)หรือมาตราอื่นใดแห่งพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการพ.ศ.2527อันจะเป็นเหตุให้จำเลยไม่มีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านข้าราชการจำเลยมีสิทธิเบิกเงินค่าเช่าบ้านข้าราชการได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช พ.ศ. 2521 จำเลยเป็นข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัยโจทก์ เดิมจำเลยรับราชการที่กรมวิเทศสหการและโอนมารับราชการที่มหาวิทยาลัยโจทก์ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2526ขณะนั้นที่ทำการของโจทก์ตั้งอยู่ที่อาคารทบวงมหาวิทยาลัยเขตพญาไท กรุงเทพมหานคร ต่อมาได้ย้ายที่ทำงานไปอยู่ที่ตำบลบางพูด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ตั้งแต่วันที่1 กรกฎาคม 2528 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2530 จำเลยได้ขอเบิกค่าเช่าบ้านเลขที่ 29/6 ซอยจรัญสนิทวงศ์ 13 ถนนจรัญสนิทวงศ์เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร จากโจทก์ไปเป็นเงินรวม37,155 บาท และจำเลยได้รับเงินดังกล่าวไปแล้ว ซึ่งการรับเงินดังกล่าวไปนั้นจำเลยไม่มีสิทธิจะได้รับ เนื่องจากจำเลยเริ่มรับราชการครั้งแรกที่หน่วยงานอื่นในเขตอำเภอชั้นนอกหรือเขตอำเภอชั้นในของกรุงเทพมหานคร ต่อมาวันที่ 2 พฤศจิกายน 2531 โจทก์แจ้งให้จำเลยนำเงินค่าเช่าบ้านได้รับไปคืนภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน2531 แต่จำเลยไม่คืน ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินค่าเช่าบ้านที่เบิกไปโดยไม่มีสิทธิจำนวน 37,155 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2531 ซึ่งเป็นวันครบกำหนดชำระถึงวันฟ้องจำนวน 15,557.727 บาท รวมเป็นต้นเงินและดอกเบี้ย 52,712.727 บาทให้จำเลยชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน52,712.727 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จำเลยได้รับเงินค่าเช่าบ้านจำนวน 37,155 บาท ไปจากโจทก์จริง แต่จำเลยไม่ต้องคืนเงินจำนวนดังกล่าวให้โจทก์ เพราะจำเลยมีสิทธิได้รับเงินค่าเช่าบ้านตามพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. 2527ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน37,155 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ให้แก่โจทก์นับแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2531 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติว่าเดิมจำเลยรับราชการที่กรมวิเทศสหการ โดยเริ่มรับราชการครั้งแรกที่หน่วยงานในท้องที่กรุงเทพมหานคร และได้โอนมารับราชการที่มหาวิทยาลัยโจทก์ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2526 ซึ่งขณะนั้นที่ทำการของโจทก์ตั้งอยู่ที่ทบวงมหาวิทยาลัย เขตพญาไทกรุงเทพมหานคร ต่อมาได้ย้ายที่ทำการไปอยู่ที่ตำบลบางพูดอำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ครั้นเมื่อระหว่างตั้งแต่วันที่1 กรกฎาคม 2528 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2530 จำเลยได้เบิกเงินค่าเช่าบ้านเลขที่ 29/6 ซอยจรัญสนิทวงศ์ 13 ถนนจรัญสนิทวงศ์เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร ไปจากโจทก์เป็นเงินรวม 37,155 บาทมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในประการแรกว่า จำเลยมีสิทธิเบิกเงินค่าเช่าบ้านข้าราชการตามพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการพ.ศ. 2527 หรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า พระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. 2527 มาตรา 7 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ภายใต้บังคับมาตรา 16 และมาตรา 17 ข้าราชการผู้ใดได้รับคำสั่งให้เดินทางไปประจำสำนักงานในต่างท้องที่ มีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านข้าราชการเท่าที่ต้องจ่ายจริงตามที่สมควรแก่สภาพแห่งบ้านแต่อย่างสูงไม่เกินจำนวนเงินที่กำหนดไว้ตามบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ ทั้งนี้ เว้นแต่ผู้นั้น(1) ทางราชการได้จัดที่พักอาศัยให้อยู่แล้ว (2) มีเคหสถานของตนเองหรือของสามีหรือภริยาที่พออาศัยอยู่ร่วมกันได้ในท้องที่ที่ไปประจำสำนักงานใหม่ (3) ได้รับคำสั่งให้เดินทางไปประจำสำนักงานใหม่ในท้องที่ที่เริ่มรับราชการครั้งแรก หรือท้องที่ที่กลับเข้ารับราชการใหม่ (4) เป็นข้าราชการวิสามัญ” ซึ่งการที่โจทก์ย้ายสำนักงานหรือที่ทำการจากท้องที่ในกรุงเทพมหานครไปอยู่ในท้องที่จังหวัดนนทบุรี โดยจำเลยต้องย้ายติดตามไปปฏิบัติราชการประจำที่สำนักงานแห่งใหม่ของโจทก์ มีผลเท่ากับจำเลยได้รับคำสั่งให้เดินทางไปประจำสำนักงานแห่งใหม่ของโจทก์ในต่างท้องที่ และการที่จำเลยเช่าบ้านอยู่นอกเขตท้องที่สำนักงานแห่งใหม่ของโจทก์ ไม่อยู่ในข้อยกเว้นของมาตรา 7 วรรคหนึ่ง (1) ถึง (4) หรือมาตราอื่นใดแห่งพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวอันจะเป็นเหตุให้จำเลยไม่มีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านข้าราชการ จึงเห็นว่าจำเลยมีสิทธิเบิกเงินค่าเช่าบ้านข้าราชการได้ตามพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการพ.ศ. 2527
พิพากษากลับ ให้ยก ฟ้อง

Share