คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6176/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ให้แก่โจทก์วันที่ 14 มิถุนายน 2528 โจทก์ชอบที่จะร้องขอบังคับคดีแก่จำเลยทั้งสองภายในสิบปีนับแต่วันที่มีคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ มาตรา 271แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่าโจทก์ได้ขอหมายบังคับคดีเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2529 และนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ในวันที่ 19 ในวันที่ 19 กุมภาพันธ์2529 และวันที่ 27 เมษายน 2532 ซึ่งต่อมาเจ้าพนักงานบังคับคดีได้นำทรัพย์ที่ยึดออกขายทอดตลาดก็ตาม ก็เป็นขั้นตอนของการดำเนินการบังคับคดี เมื่อหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องคดีนี้โจทก์มิได้ดำเนินการบังคับคดีเสียภายในสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษา โจทก์ย่อมหมดสิทธิที่จะบังคับคดี แก่จำเลยทั้งสอง จึงไม่อาจนำหนี้ที่พ้นกำหนดเวลาบังคับคดีดังกล่าวมาฟ้องจำเลยทั้งสองให้ล้มละลายได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองเป็นลูกหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลจังหวัดลำปาง คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 255/2528 พิพากษาเมื่อวันที่14 มิถุนายน 2528 ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 2,204,125.88 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี จากต้นเงิน 2,197,263.19 บาทนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์กับให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ คดีถึงที่สุดแล้ว จำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ โจทก์ขอให้ศาลออกหมายบังคับคดี และนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์ จำเลยที่ 1 รวม 2 ครั้งได้รับเงินจากการขายทอดตลาดนำมาหักชำระหนี้โจทก์ได้บางส่วนคิดถึงวันฟ้องจำเลยทั้งสองยังคงค้างชำระหนี้โจทก์เป็นเงิน5,707,148.17 บาท จำเลยทั้งสองไม่มีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้อีกและจำเลยทั้งสองย้ายภูมิลำเนาไปจากเคหสถานที่เคยอยู่ ยักย้ายทรัพย์ไปให้พ้นอำนาจศาลและเคยแจ้งให้โจทก์ทราบว่าไม่สามารถชำระหนี้ได้ ถือได้ว่าจำเลยทั้งสองมีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาด และพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยที่ 1 ให้การว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อพ้นกำหนดเวลา 10 ปีนับแต่วันที่ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ จำเลยที่ 1มิได้เป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ไม่ยื่นคำให้การและจำเลยทั้งสองขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติได้ว่า โจทก์เป็นเจ้าหนี้จำเลยทั้งสองตามคำพิพากษาของศาลจังหวัดลำปาง คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2555/2528 ซึ่งพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 2,204,125.88 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2528 จำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ โจทก์ได้ขอหมายบังคับคดีในวันที่ 19 กุมภาพันธ์2529 และนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 รวม 2 ครั้งครั้งแรกวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ครั้งที่สอง วันที่ 27 เมษายน 2532เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์ที่นำยึดแล้วได้เงินไม่พอชำระหนี้ จำเลยทั้งสองยังค้างชำระหนี้โจทก์นับถึงวันฟ้องเป็นเงิน 5,707,148.17 บาท โดยโจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ 20 ธันวาคม2538 มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์จะนำหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งเกินกำหนดสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษามาฟ้องจำเลยทั้งสองให้ล้มละลายได้หรือไม่ เห็นว่า เมื่อศาลจังหวัดลำปางพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ให้แก่โจทก์วันที่ 14 มิถุนายน 2528โจทก์ชอบที่จะร้องขอบังคับคดีแก่จำเลยทั้งสองภายในสิบปีนับแต่วันที่มีคำพิพากษา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่าโจทก์ได้ขอหมายบังคับคดีเมื่อวันที่ 19กุมภาพันธ์ 2529 และนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยที่ 1ในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2529 และวันที่ 27 เมษายน 2532 และต่อมาเจ้าพนักงานบังคับคดีได้นำทรัพย์ที่ยึดออกขายทอดตลาดก็ตามก็เป็นขั้นตอนของการดำเนินการบังคับคดี เมื่อหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องคดีนี้ โจทก์มิได้ดำเนินการบังคับคดีเสียภายในสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษา โจทก์ย่อมหมดสิทธิที่จะบังคับคดีแก่จำเลยทั้งสอง โจทก์จึงไม่อาจนำหนี้ที่พ้นกำหนดเวลาบังคับคดีดังกล่าวแล้วมาฟ้องจำเลยทั้งสองให้ล้มละลายได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share