แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ซื้อที่ดินและบ้านพิพาทจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลปรากฎว่าจำเลยอยู่ในบ้านพิพาทซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าวและอ้างว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นของจำเลยแต่จำเลยไม่ได้ให้การกล่าวอ้างว่าโจทก์ซื้อที่ดินและบ้านพิพาทจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลโดยไม่สุจริตหรือเป็นไปโดยไม่ชอบอย่างไรและมิได้ขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดรายนี้คดีจึงไม่มีประเด็นว่าโจทก์ซื้อที่ดินและบ้านพิพาทจากการขายทอดตลาดโดยสุจริตหรือไม่กรณีต้องด้วยบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1330สิทธิของโจทก์ในฐานะผู้ซื้อที่ดินและบ้านพิพาทจากการขายทอดตลาดจึงยังคงมีอยู่แม้จำเลยจะนำสืบว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นของจำเลยมาเป็นเวลากว่า40ปีแล้วก็ไม่ทำให้จำเลยชนะคดีได้ โจทก์ฟ้องว่าได้ให้ว. และจำเลยอาศัยอยู่ในที่ดินและบ้านจำเลยคงให้การเพียงว่าจำเลยอยู่ในที่ดินเป็นเวลาเกินกว่า10ปีมิได้อาศัยสิทธิผู้ใดโจทก์ไม่ฟ้องคดีภายใน1ปีนับแต่โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินจึงขาดสิทธิครอบครองคำให้การจำเลยไม่มีประเด็นเรื่องเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือแต่จำเลยฎีกาในเรื่องเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1381เป็นการนอกเหนือจากที่จำเลยให้การไว้และไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่925 และเลขที่ 972 จังหวัดนครปฐม พร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยซื้อจากการขายทอดตลาดของศาลชั้นต้น เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์2530 เดิมเป็นของนายวันชัย สีนวล บุตรจำเลย แต่เมื่อโจทก์ซื้อมาแล้วได้ให้นายวันชัยกับจำเลยอาศัยอยู่ต่อไปต่อมานายวันชัยย้ายออกไปอยู่ที่อื่น ได้บอกกล่าวให้จำเลยและบริวารออกจากบ้านและที่ดินทั้งสองแปลงแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉยทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้บังคับจำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากบ้านและที่ดินทั้งสองแปลงของโจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 5,000 บาท แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยอยู่ในที่ดินพิพาทโดยการยึดถือเพื่อตนเองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า 1 ปี โจทก์จึงขาดสิทธิครอบครอง บ้านเลขที่ 39 บนที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยซึ่งปลูกสร้างขึ้นมาเอง โจทก์ไม่เคยบอกกล่าวให้จำเลยออกจากบ้านหลังดังกล่าวและที่ดินพิพาท ค่าเสียหายของโจทก์ไม่เกิน 50 บาทต่อปี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากบ้านและที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่ 925 เลขที่ 972 และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 1,000 บาท แก่โจทก์ นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารออกจากบ้านและที่ดินพิพาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาว่าโจทก์หรือจำเลยมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทและเป็นเจ้าของบ้านที่ปลูกอยู่บนที่ดินพิพาทหรือไม่ โจทก์ซื้อที่ดินและบ้านพิพาทจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลและศาลแจ้งให้ทางอำเภอจัดทำนิติกรรมโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์แล้วตามสารบัญจดทะเบียนหลังหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ปรากฎว่าจำเลยคงอยู่ในบ้านพิพาทจำเลยอ้างว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นของจำเลย แต่ไม่ได้กล่าวอ้างว่าโจทก์ซื้อจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลโดยไม่สุจริตหรือเป็นไปโดยไม่ชอบอย่างไร และมิได้ขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดรายนี้ คดีจึงไม่มีประเด็นว่าโจทก์ซื้อที่ดินและบ้านพิพาทจากการขายทอดตลาดโดยสุจริตหรือไม่ กรณีต้องด้วยบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1330สิทธิของโจทก์ในฐานะผู้ซื้อที่ดินและบ้านพิพาทจากการขายทอดตลาดจึงยังคงมีอยู่ จำเลยจะนำสืบว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นของจำเลยมาเป็นเวลากว่า 40 ปีแล้ว ก็ไม่ทำให้จำเลยชนะคดีได้ข้อที่ว่าในช่วงเวลาที่โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทมาจากการขายทอดตลาดจนถึงวันฟ้องคดีนี้จำเลยได้บอกเปลี่ยนเจตนาต่อโจทก์เมื่อโจทก์ไปพบจำเลยที่ไร่อ้อยเมื่อปี 2530 ขอให้จำเลยออกจากที่ดินพิพาท จำเลยก็ยืนยันว่าเป็นเจ้าของที่ดินเมื่อโจทก์ฟ้องเกินกว่า 1 ปี โจทก์จึงขาดสิทธิที่จะฟ้องเอาคืนที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375แล้วนั้น คดีนี้โจทก์ว่าได้ให้นายวันชัยและจำเลยอาศัยอยู่ในที่ดินและบ้านพิพาท จำเลยคงให้การเพียงว่าจำเลยอยู่ในที่ดินพิพาทเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี มิได้อาศัยสิทธิผู้ใดโจทก์ไม่ฟ้องคดีภายใน 1 ปี นับแต่โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทจึงขาดสิทธิครอบครอง คำให้การของจำเลยไม่มีประเด็นเรื่องเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือ ศาลฎีกาจึงไม่อาจยกขึ้นวินิจฉัยให้ได้ และไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน