คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6169/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอ ดอกเบี้ย อัตราร้อยละ 19 ต่อปี แต่ศาลชั้นต้นให้ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ปัญหาที่ว่าโจทก์มีสิทธิเรียกให้ลูกหนี้ชำระดอกเบี้ยในอัตราตามฟ้องได้หรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมาย แม้ทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นอุทธรณ์ไม่เกิน 50,000 บาท คดีก็ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่งที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ในปัญหานี้เป็นการไม่ชอบและศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยให้โดยไม่ต้องย้อนสำนวน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี 2 สัญญา คิดถึงวันที่ 5 ตุลาคม 2534 รวมเป็นเงิน 630,871.88 บาท จำเลยทั้งสองทำสัญญาจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 1636 พร้อมสิ่งปลูกสร้างเพื่อประกันหนี้และตกลงกันว่าหากบังคับจำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้ จำเลยทั้งสองยอมให้ยึดทรัพย์สินอื่นชำระหนี้จนครบ จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม โจทก์ทวงถามและบอกกล่าวบังคับจำนองแล้วจำเลยทั้งสองไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน676,145.17 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปีของต้นเงิน 630,871.88 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จถ้าไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 1636 ตำบลหาดเสี้ยวอำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาด หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ ให้ยึดทรัพย์สินอื่นขายทอดตลาดชำระหนี้จนครบ
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน618,730.56 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน 2534 จนกว่าจะชำระเสร็จ ถ้าไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 1636 ตำบลหาดเสี้ยว อำเภอศรีสัชนาลัยจังหวัดสุโขทัย พร้อมสิ่งปลูกสร้างขายทอดตลาดใช้หนี้ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ ให้จำเลยทั้งสองชำระส่วนที่ขาดจนครบ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 618,730.56 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน 2534 จนกว่าจะชำระเสร็จโจทก์อุทธรณ์ขอ ดอกเบี้ย อัตราร้อยละ 19 ต่อปี ตามสัญญาเป็นดอกเบี้ย 32,750.34 บาท ศาลอุทธรณ์ภาค 2 เห็นว่า ดอกเบี้ยภายหลังเลิกสัญญานับแต่วันที่ 6 กันยายน 2534 เป็นการเรียกค่าเสียหายโดยคำนวณเป็นอัตราดอกเบี้ย การคำนวณค่าเสียหายให้โจทก์เป็นดุลพินิจของศาลเป็นปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อทุนทรัพย์ในชั้นอุทธรณ์ไม่เกิน 50,000 บาท จึงต้องห้ามอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ให้โจทก์ โจทก์ฎีกาขอให้ศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวจนกว่าจะชำระเสร็จ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ที่โจทก์ฟ้องขอ ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี แต่ศาลชั้นต้นให้ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5 ต่อปีนั้น ปัญหาที่ว่าโจทก์มีสิทธิเรียกให้ลูกหนี้ชำระดอกเบี้ยในอัตราตามฟ้องได้หรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมาย จึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยปัญหานี้จึงไม่ชอบและศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยให้โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัย เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่าจำเลยที่ 2 ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีตกลงให้โจทก์คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี โดยอาศัยประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยอันชอบด้วยกฎหมาย เมื่อมีการเลิกสัญญา โจทก์จึงมีเหตุตามสัญญาที่จะเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่าอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 วรรคหนึ่ง จำเลยทั้งสองจึงต้องส่งดอกเบี้ยต่อไปตามนั้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน618,730.56 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปีนับตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน 2534 จนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share