คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6163/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ที่ดินพิพาทที่โจทก์ได้รับมาตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพฯ ซึ่งอยู่ระหว่างกำหนดห้ามโอนภายในห้าปีเป็นที่ดินที่รัฐยังไม่มอบสิทธิครอบครองให้โจทก์จึงยังไม่มีสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือตามประมวลกฎหมายที่ดินฯไม่อาจโอนหรือสละสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่ผู้อื่นได้ ฉะนั้นแม้สัญญาจำนองที่ดินพิพาทจะเป็นนิติกรรมอำพรางการซื้อขาย และจำเลยเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยโจทก์ส่งมอบการครอบครองให้นับแต่วันที่โจทก์ทำสัญญาจำนองไว้ก็ตาม จำเลยก็ไม่อาจอ้างว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทเพื่อตนขึ้นต่อสู้โจทก์ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จดทะเบียนจำนองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1055 ของโจทก์ไว้แก่จำเลยเพื่อเป็นประกันการที่โจทก์กู้ยืมเงินจากจำเลยจำนวน 40,000 บาท ในการกู้ยืมเงินนี้โจทก์จำเลยตกลงถือเอาสัญญาจำนองเป็นหลักฐานการกู้ยืมเงิน และให้จำเลยยึดถือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ไว้ ต่อมาโจทก์จะชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยคืนจำเลย แต่จำเลยบอกปัดเพราะทราบดีว่าโจทก์ตกลงขายที่ดินแปลงนี้ให้แก่ผู้มีชื่อในราคา 230,000บาท กำหนดจะจดทะเบียนโอนให้แก่ผู้ซื้อแล้ว มิฉะนั้นโจทก์ต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้ซื้อเป็นเงิน 10,000 บาท แต่จำเลยต้องการให้โจทก์ได้รับความเสียหายและขายที่ดินให้แก่ผู้ซื้อไม่ได้ ต่อมาโจทก์จึงนำเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 60,850 บาทวางต่อเจ้าพนักงานวางทรัพย์ เพื่อชำระหนี้ให้แก่จำเลย โจทก์และเจ้าพนักงานวางทรัพย์แจ้งให้จำเลยมารับชำระหนี้พร้อมทั้งจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองหรือสลักหลังสัญญาจำนองพร้อมทั้งคืนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้โจทก์ จำเลยทราบแล้วแต่เพิกเฉย ทำให้โจทก์เสียหายโดยต้องเสียค่าธรรมเนียมในการวางทรัพย์ และต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ซื้อที่ดิน ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองและคืนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1055 แก่โจทก์ให้จำเลยรับชำระหนี้จำนองพร้อมดอกเบี้ยจำนวน 60,850 บาท จากเจ้าพนักงานวางทรัพย์ประจำศาลจังหวัดนครสวรรค์ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 10,400 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์และจำเลยทำสัญญาจำนองที่ดินพิพาทโดยมิได้มีเจตนาให้มีผลผูกพัน ความจริงแล้วโจทก์และจำเลยมีเจตนาซื้อขายที่ดินพิพาทต่อกันในราคา 40,000 บาท แต่เนื่องจากที่ดินพิพาทต้องห้ามมิให้โอนการครอบครองต่อกันตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2511 โจทก์และจำเลยมิอาจทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทได้จึงทำสัญญาจำนองแทนนับแต่วันที่ 26 สิงหาคม2529 ซึ่งเป็นวันทำสัญญาจำนองโจทก์สละการครอบครองที่ดินพิพาทโดยมอบการครอบครองให้แก่จำเลย กับมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้พร้อมหลักฐานการเสียภาษีบำรุงท้องที่และใบเสร็จเสียภาษีบำรุงท้องที่กับแฟ้ม น.ส.3 เลขที่ 358 ที่โจทก์ได้รับมอบจากกรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงมหาดไทย แก่จำเลย จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า 1 ปีจำเลยจึงได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตามกฎหมาย การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้จึงเป็นการรบกวนการครอบครองที่ดินพิพาทของจำเลยโดยปกติสุขขอให้ยกฟ้องกับห้ามโจทก์และบริวารรบกวนการครอบครองที่ดินพิพาทของจำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยมิได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทและโจทก์มิได้สละการครอบครองที่ดินพิพาทแก่จำเลย ประมาณเดือนเมษายน2530 จำเลยขอเช่าที่ดินพิพาทจากโจทก์เพื่อปลูกพืช โจทก์ตกลงให้จำเลยเช่า จำเลยจึงเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทในฐานะผู้เช่าขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยคืนและจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 1055ตำบลพุนกยูง อำเภอตากฟ้า จังหวัดนครสวรรค์ เนื้อที่ 4 ไร่ 2 งาน40 ตารางวา แก่โจทก์โดยให้จำเลยรับเงินจำนวน 60,850 บาท ได้จากสำนักงานวางทรัพย์ประจำศาลจังหวัดนครสวรรค์ และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายจำนวน 400 บาทแก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จ ส่วนคำขออื่นให้ยกเสียและยกฟ้องแย้งของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาในศาลชั้นต้นรับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นฎีกาฟังยุติได้ว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 1055 ตำบลพุนกยูง อำเภอตากฟ้า จังหวัดนครสวรรค์ซึ่งทางราชการออกให้โจทก์ตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพพ.ศ. 2511 เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2529 โดยมีข้อกำหนดห้ามโอนห้าปีตามมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ก่อนพ้นกำหนดเวลาห้ามโอนโจทก์ทำหนังสือสัญญาจำนองที่ดินพิพาทไว้แก่จำเลยและจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทไว้ด้วย ที่จำเลยฎีกาว่า สัญญาจำนองเป็นนิติกรรมอำพรางการซื้อขาย โจทก์ได้ส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยและจำเลยได้ครอบครองที่ดินพิพาทเพื่อตนแล้ว โจทก์จึงหมดสิทธิในที่ดินพิพาทนั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพพ.ศ. 2511 มาตรา 12 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ภายในห้าปีนับแต่วันที่ได้รับโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดิน ผู้ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินจะโอนที่ดินนั้นไปยังผู้อื่นไม่ได้ นอกจากการตกทอดโดยทางมรดกหรือโอนไปยังสหกรณ์ที่ตนเป็นสมาชิกอยู่แล้วแต่กรณี”และวรรคสอง บัญญัติว่า “ภายในกำหนดระยะเวลาตามวรรคหนึ่งที่ดินนั้นไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี” ดังนั้น ที่ดินพิพาทที่โจทก์ได้รับมาตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2511 ซึ่งอยู่ระหว่างกำหนดห้ามโอนภายในห้าปีนั้น จึงเป็นที่ดินที่รัฐยังไม่มอบสิทธิครอบครองให้แก่โจทก์ โจทก์ซึ่งยึดถือที่ดินพิพาทที่มีเงื่อนไขดังกล่าว จึงยังไม่มีสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือตามประมวลกฎหมายที่ดิน โจทก์ไม่อาจโอนหรือสละสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1377 หรือมาตรา 1378 ให้แก่ผู้อื่นได้ ด้วยเหตุนี้แม้จะฟังว่าสัญญาจำนองที่ดินพิพาทเป็นนิติกรรมอำพรางการซื้อขาย และจำเลยเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยโจทก์ได้ส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้นับแต่วันที่โจทก์ทำหนังสือสัญญาจำนองที่ดินพิพาทไว้แก่จำเลยดังฎีกาจำเลยก็ตาม จำเลยก็ไม่อาจยกเรื่องสิทธิครอบครองโดยอ้างว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทเพื่อตนขึ้นต่อสู้โจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share