คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6160/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ในการยื่นคำขอจดทะเบียนและต่อทะเบียนรถยนต์แต่ละคันผู้ขอต้องยื่นแบบเรื่องราวขอจดทะเบียนและต่อทะเบียนรถยนต์พร้อมเอกสารต่าง ๆ ให้เจ้าหน้าที่ผู้ตรวจคำขอและเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจอนุญาตพิจารณาแบบเรื่องราวสำหรับรถยนต์แต่ละคันแยกกันต่างหากเป็นราย ๆ ไป แม้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจสอบหลักฐานได้พิจารณาคำขอพร้อมเอกสารต่าง ๆสำหรับรถยนต์แต่ละคันว่าหลักฐานเกี่ยวกับตัวรถยนต์ถูกต้องตรงกันกับเอกสารหรือไม่ ในเวลาต่อเนื่องกันก็กระทำต่างกรรมต่างวาระกัน จึงเป็นความผิดหลายกระทงตามจำนวนเรื่องราวขอจดทะเบียนและต่อทะเบียนรถยนต์แต่ละคัน มิใช่เป็นการกระทำกรรมเดียวกันในแต่ละวัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157, 162, 264, 265, 268 ริบเอกสารปลอมของกลางนับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 6040/2532 และหมายเลขดำที่ 1438/2533 หมายเลขแดงที่ 7996/2539 ของศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 1 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกันกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 มาตรา 268 วรรคแรกประกอบมาตรา 265การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทลงโทษตามมาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกจำเลยที่ 1 กระทงละ 1 ปีรวม 13 กระทง จำคุก 13 ปี นับโทษต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 7996/2534 ของศาลชั้นต้นจำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 จำคุกกระทงละ 1 ปี รวม 13 กระทงจำคุก 13 ปี ริบเอกสารปลอมของกลาง ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 8 กระทง รวมโทษจำคุกคนละ 8 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ 2 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 เคยไปติดต่อจดทะเบียนรถยนต์ที่กองทะเบียนกรมตำรวจ ส่วนจำเลยที่ 2 รับราชการตำรวจประจำแผนกทะเบียนรถยนต์กองทะเบียน กรมตำรวจได้รับมอบหมายให้มีหน้าที่ตรวจสอบหลักฐานใบรับเงินและใบแจ้งจำหน่ายรถยนต์ของตัวแทนจำหน่ายที่นำมายื่นขอจดทะเบียนรถยนต์ต่อนายทะเบียนยานพาหนะกรุงเทพมหานครมีหน้าที่ทำเอกสาร ตรวจสอบเอกสาร รับเอกสารและกรอกข้อความลงในเอกสารแบบเรื่องราวขอจดทะเบียนและต่อทะเบียนรถยนต์โดยต้องตรวจดูว่าหมายเลขเครื่องยนต์และหมายเลขตัวถังรถยนต์ในเอกสารดังกล่าวถูกต้องตรงกับบัญชีรับและจำหน่ายรถยนต์ที่ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ส่งมาให้ตรวจสอบ หากถูกต้องตรงกันจึงประทับตรายาง มีข้อความว่าบันทึกการตัดบัญชีรับและจำหน่ายแล้วลงลายมือชื่อรับรองความถูกต้องไว้ในเอกสารที่ตรวจสอบก่อนเสนอนายทะเบียนยานพาหนะกรุงเทพมหานครเพื่อพิจารณาอนุญาตให้จดทะเบียนรถยนต์ต่อไป ในระหว่างที่จำเลยที่ 2 รับราชการอยู่ที่แผนกดังกล่าว จำเลยที่ 1 ได้ยื่นแบบเรื่องราวขอจดทะเบียนรถยนต์โตโยต้าต่อเจ้าหน้าที่กองทะเบียน กรมตำรวจ โดยแสดงใบรับเงินและหนังสือแจ้งการจำหน่ายรถยนต์ของบริษัทโตโยต้ามอเตอร์ประเทศไทย จำกัด ใบเสร็จรับเงินของห้างหุ้นส่วนจำกัดโตโยต้าพระนครศรีอยุธยาและของห้างหุ้นส่วนจำกัดโตโยต้าสระบุรีเป็นหลักฐานประกอบแบบเรื่องราวขอจดทะเบียนรถยนต์รวม 13 คัน ตามเอกสารหมาย จ.2 ถึง จ.14 ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้รับจดทะเบียนรถยนต์ให้แล้ว แต่ปรากฏภายหลังว่าเอกสารหมาย จ.2ถึง จ.14 เป็นเอกสารปลอมและหมายเลขเครื่องยนต์กับหมายเลขตัวถังรถยนต์ที่ระบุไว้ในเอกสารปลอมดังกล่าวไม่ถูกต้องตรงกับบัญชีรับและจำหน่ายที่ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ส่งไว้ที่แผนกยานพาหนะหัวเมืองเพื่อให้ตรวจสอบ มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2 กระทำความผิดฐานเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 2เป็นผู้ประทับตรายางและลงลายมือชื่อไว้ในเอกสารหมาย จ.2ถึง จ.14 จริง มีปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของโจทก์ว่า แบบเรื่องราวขอจดทะเบียนและต่อทะเบียนรถยนต์ตามเอกสารหมาย จ.4 และ จ.5กระทำในวันเดียวกันคือวันที่ 11 ธันวาคม 2530 แบบเรื่องราวขอจดทะเบียนและต่อทะเบียนรถยนต์ตามเอกสารหมาย จ.6 และ จ.7กระทำในวันเดียวกันคือวันที่ 21 ธันวาคม 2530 และแบบเรื่องราวขอจดทะเบียนและต่อทะเบียนรถยนต์เอกสารหมาย จ.10 จ.11จ.12 และ จ.13 กระทำในวันเดียวกันคือวันที่ 12 มกราคม 2531เป็นการกระทำกรรมเดียวกันในแต่ละวันดังกล่าวหรือไม่ เห็นว่าในการยื่นคำขอจดทะเบียนและต่อทะเบียนรถยนต์แต่ละคันผู้ขอจะต้องยื่นแบบเรื่องราวขอจดทะเบียนและต่อทะเบียนรถยนต์พร้อมเอกสารต่าง ๆ ให้เจ้าหน้าที่ผู้ตรวจคำขอและเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจอนุญาตพิจารณาแบบเรื่องราวสำหรับรถยนต์แต่ละคันแยกกันต่างหากเป็นราย ๆ ไป มิใช่ยื่นแบบเรื่องราวสำหรับรถยนต์หลายคันรวมกันมาในคำขอฉบับเดียวกันหรือเอกสารชุดเดียวกัน ดังนั้น จำเลยที่ 2ผู้รับคำขอคดีนี้จะต้องพิจารณาคำขอพร้อมเอกสารต่าง ๆ สำหรับรถยนต์แต่ละคันนั้นว่าหลักฐานเกี่ยวกับตัวรถยนต์ถูกต้องตรงกันกับเอกสารหรือไม่ แม้จำเลยที่ 2 จะตรวจสอบหลักฐานในเวลาต่อเนื่องกันก็ตามจำเลยที่ 2 ก็กระทำต่างกรรมต่างวาระกันจึงเป็นความผิดอีก 8 กระทงรวมแล้วเป็นความผิด 13 กระทงมิใช่เป็นการกระทำกรรมเดียวกันในแต่ละวันและเป็นความผิดอีก3 กระทงรวมแล้วเป็นความผิด 8 กระทง ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามาโดยให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 ด้วยและให้รับโทษเพียง 8 กระทงนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นส่วนฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีจำเลยที่ 1 และที่ 2ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share