คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 616/2499

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามฟ้องของโจทก์ตั้งประเด็นมาว่าภรรยาโจทก์ไปทำสัญญาประนีประนอมกับจำเลยโดยมิได้รับความยินยอมจากโจทก์ ฝ่ายจำเลยให้การต่อสู้ว่าโจทก์รู้เห็นยินยอมด้วยแล้วข้อโตเถียงกันเช่นนี้หน้าที่นำสืบต้องตกอยู่แก่จำเลยต้องนำสืบว่าโจทก์ได้รู้เห็นยินยอม
ในเรื่องการยินยอมของโจทก์ มิได้มีหนังสือใช้ไม่ได้ตาม ม.1476 เมื่อโจทก์มิได้ยกประเด็นโต้เถียงมาแต่ศาลชั้นต้น โจทก์เพิ่งมายกปัญหาข้อนี้โต้เถียงมาในชั้นอุทธรณ์และในชั้นฎีกาศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้ส่งผู้มีชื่อมาหมั้นบุตรีโจทก์โดยมีทรัพย์สิ่งของเป็นของหมั้นให้โจทก์ยึดถือไว้เพื่อเป็นหลักฐานและประกันว่าบุตรีโจทก์จะสมรสกับจำเลย ต่อมาจำเลยทำกลอุบายหลอกลวงนางคง ชมโฉม ภรรยาโจทก์ไปทำสัญญาประนีประนอมโดยโจทก์หาได้ให้ยินยอมอนุญาตไม่ เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์มีหนังสือบอกล้างนิติกรรมรายนี้ไปให้จำเลยทราบแล้ว จำเลยหาจัดการคืนของหมั้นให้โจทก์ไม่ โจทก์จึงมาฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมระหว่างจำเลยกับนางคงภรรยาโจทก์และขอให้จำเลยส่งของหมั้นให้แก่โจทก์กับห้ามจำเลยเข้ามาเกี่ยวข้องกับก่อไผ่ที่ดินของโจทก์ต่อไป
จำเลยต่อสู้ว่าสัญญาประนีประนอมภรรยาโจทก์ทำขึ้นโดยได้ให้โจทก์รู้เห็นยินยอมแล้วโดยปริยายและต่อสู้อย่างอื่นอีก
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าตามฟ้องของโจทก์ตั้งประเด็นมาว่าภรรยาโจทก์ ไปทำสัญญาประนีประนอมกับจำเลย โดยมิได้รับความยินยอมจากโจทก์ ฝ่ายจำเลยให้การต่อสู้ว่าโจทก์รู้เห็นยินยอมด้วยแล้ว ข้อโต้เถียงเช่นนี้หน้าที่นำสืบต้องตกอยู่แก่จำเลย ต้องนำสืบว่าโจทก์ได้รู้เห็นยินยอมตามข้อเถียงของโจทก์จริงดังนั้นแห่งคำพิพากษาฎีการที่ ๕๓๐/๒๔๓๖ คดีระหว่างนางเลี่ยนมารดาผู้ปกครอง ด.ช.ปิฎก ด.ช.แดงผู้รับมรดกความนายเบือน นิลวงษ์ โจทก์ นางบ๊วย น้อยประยูร จำเลย แต่คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งตามรายงานพิจารณาลงวันที่ ๒๒ ธ.ค.๙๖ นั้น ให้โจทก์จำเลยนำสืบในประเด็นข้อนี้ซึ่งหมายความว่าให้คู่ความทั้งสองฝ่ายต่างนำสืบกันได้อีกประเด็นหนึ่งไม่ใช่คงสืบแต่เพียงประเด็นเดียวซึ่งให้โจทก์นำสืบก่อนตามคำสั่งในรายงานพิจารณาลงวันที่ ๓ ธ.ค.๙๖ ฉนั้นในประเด็นข้อหลังเมื่อโจทก์มิได้นำสืบเสียเลยพยานของโจทก์ในประเด็นข้อนี้ จึงไม่มีข้อเท็จจริงที่จะฟังหักล้างพยานฝ่ายจำเลยซึ่งนำสืบได้สมว่าโจทก์ได้รู้เห็นยินยอมให้ภรรยาโจทก์ไปทำสัญญาประนีประนอมกับจำเลย คำสั่งศาลชั้นต้นชอบแล้ว
ส่วนในปัญหาข้อก.ม.ที่โจทก์เถียงว่าจำเลยจะนำพยายบุคคลมาสืบเรื่องโจทก์ในความยินยอมโดยไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือมาแสดงต่อศาลตาม ป.พ.พ. ม.๑๔๗๖ ศาลจะรับฟังพยานบุคคลของจำเลยไม่ได้นั้นและโจทก์ได้ยกปัญหาข้อนี้โต้เถียงมาในชั้นอุทธรณ์ด้วย แต่ศาลอุทธรณ์มิได้ยกขึ้นวินิจฉัยนั้น เห็นว่าประเด็นที่โจทก์จำเลยคงโต้เถียงกันในคดีนี้มีเพียงว่าโจทก์ได้รู้เห็นยินยอมให้นางคงภรรยาโจทก์ทำสัญญาประนีประนอมท้ายฟ้องกับจำเลยหรือไม่เท่านั้น โจทก์หาได้ยกประเด็นขึ้นโต้เถียงมาแต่ศาลชั้นต้นว่าการยินยอมของโจทก์มิได้มีหนังสือใช้ไม่ได้ตาม ป.พ.พ. ม.๑๔๗๖ อย่างใดเลย ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย มีแบบอย่างคำพิพากษาฎีกาที่ ๓๘/๒๔๙๕ คดีระหว่างนายอี๊ด ชูประสิทธิ์ โจทก์ นายทองใบน้อยผึ้ง จำเลย นายโห้ น้อยผึ้ง ผู้ร้องขัดทรัพย์ เป็นบรรทัดฐานอยู่แล้วฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
จึงพิพากษายืน

Share