แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 3 เพียงแต่ใช้ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และ ส. จับตัวผู้ตายมาเพื่อค้นหาความจริงเกี่ยวกับรถของจำเลยที่ 3 ที่หายไปเท่านั้น การที่ ส. ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจนผู้ตายถึงแก่ความตายเนื่องจากผู้ตายต่อสู้ไม่ยอมให้จับตัวนั้น เป็นเหตุการณ์เฉพาะหน้า ที่เกิดขึ้นทันทีทันใด โดยจำเลยที่ 3 ไม่อาจคาดหมายได้ว่า ส. จะกระทำเช่นนั้น เป็นการกระทำเกินขอบเขตที่ใช้ พฤติการณ์แห่งคดียังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 มีเจตนาร่วมกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และ ส. ฆ่าผู้ตาย แต่การที่จำเลยที่ 3 ใช้ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และ ส. ไปจับตัวผู้ตายมารีดเค้นหาความจริงดังกล่าว จำเลยที่ 3 ย่อมคาดหมายได้ว่าผู้ตายอาจขัดขืนและในการรีดเค้นความจริงจากผู้ตาย อาจมีการต่อสู้ทำร้ายร่างกายเกิดขึ้น ถือว่าจำเลยที่ 3 ใช้ให้กระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายด้วย เมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 2 และ ส. ทำตามคำสั่งของจำเลยที่ 3 แล้วผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 3 ในฐานะผู้ใช้ให้กระทำความผิดจึงต้องรับผิดฐานทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 84, 91, 199, 288, 289, 371 ริบชิ้นส่วนกระสุนปืน 5 ชิ้น ชิ้นส่วนหัวกระสุนปืน 3 ชิ้น โทรศัพท์เคลื่อนที่ หมายเลข 0 1892 8644 พร้อมซิมการ์ด และโทรศัพท์เคลื่อนที่หมายเลข 0 9868 4851 กับซิมการ์ดของกลาง
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การรับสารภาพ
จำเลยที่ 3 ให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นางสุดาพร เด็กหญิงกัญญาวีร์ และเด็กหญิงสิริยากร ภริยาและบุตรจ่าสิบเอกกำพลหรือปุ๊ ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตเฉพาะข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน (ที่ถูก ข้อหาใช้ให้ผู้อื่นร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนด้วย)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 199, 288, 371 ประกอบมาตรา 83 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีอาวุธปืนไม่มีทะเบียนไว้ในครอบครอง จำคุกคนละ 1 ปี ฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 1 ปี ฐานร่วมกันซ่อนเร้น ย้ายศพ จำคุกคนละ 1 ปี ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่น จำคุกคนละตลอดชีวิต รวมทุกกระทงแล้วให้จำคุกคนละตลอดชีวิตสถานเดียว จำเลยที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 (ที่ถูก มาตรา 290 วรรคสอง, 84) ประกอบมาตรา 87 (ที่ถูก มาตรา 87 วรรคสอง) จำคุก 10 ปี จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 25 ปี ริบของกลาง ข้อหาอื่นให้ยก
โจทก์ร่วมที่ 1 และจำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 72 วรรคสาม, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุกคนละ 6 เดือน ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 6 เดือน จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 (ที่ถูก ประกอบมาตรา 53) ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่น จำคุกคนละ 25 ปี ฐานร่วมกันซ่อนเร้น ย้ายศพ จำคุกคนละ 6 เดือน ฐานร่วมกันมีอาวุธปืน จำคุกคนละ 3 เดือน ฐานร่วมกันพาอาวุธปืน จำคุกคนละ 3 เดือน รวมจำคุกคนละ 25 ปี 12 เดือน แต่เนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกคนละ 25 ปี และโจทก์มิได้อุทธรณ์ขอให้เพิ่มโทษจึงเพิ่มเติมโทษอีกไม่ได้ คงจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละ 25 ปี ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2545 เวลาประมาณ 19 นาฬิกา จ่าสิบเอกกำพลหรือปุ๊ ผู้ตาย จ่าสิบเอกเอนกสิน และจำเลยที่ 3 กับพวก พากันไปนั่งดื่มสุราและรับประทานอาหารที่ร้านชงโค จนกระทั่งเวลาประมาณ 22 นาฬิกา ได้พากันไปรับประทานอาหารและดื่มสุราต่อที่ร้านมายาคาราโอเกะ โดยขับรถเก๋งยี่ห้อฮอนด้าแอคคอร์ดของจำเลยที่ 3 จอดไว้ที่บริเวณลานจอดรถของร้านอาหารดังกล่าว ต่อมาเวลาประมาณ 24 นาฬิกา ผู้ตายเดินลงไปที่ลานจอดรถ มีคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายแล้วช่วยกันจับตัวผู้ตายโยนใส่รถยนต์กระบะยี่ห้อมิตซูบิชิสีน้ำเงิน ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน โดยมีจำเลยที่ 1 เป็นคนขับรถคันดังกล่าวหลบหนีไปจากที่เกิดเหตุ เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจมาที่เกิดเหตุได้ยึดชิ้นส่วนกระสุนปืนหลายชิ้น รองเท้าหนังของผู้ตาย 1 คู่ ซึ่งตกอยู่ที่เกิดเหตุและยึดรถยนต์เก๋งยี่ห้อฮอนด้าของจำเลยที่ 3 เป็นของกลาง หลังจากนั้นได้พาจำเลยที่ 3 ไปสอบปากคำที่สถานีตำรวจ จากการค้นตัวจำเลยที่ 3 พบโทรศัพท์เคลื่อนที่หมายเลข 0 1892 8644 ในถุงเท้าด้านขวาและพบซิมการ์ดของโทรศัพท์เครื่องดังกล่าวในถุงเท้าด้านซ้ายของจำเลยที่ 3 จึงยึดเป็นของกลาง ในวันรุ่งขึ้น เวลาประมาณ 9 นาฬิกา พบศพของผู้ตายถูกทิ้งอยู่ใต้สะพานคลองมะขามเตี้ย แพทย์ได้ทำรายงานการตรวจชันสูตรพลิกศพผู้ตาย ระหว่างพิจารณา นางสุดาพร ภริยาของผู้ตาย เด็กหญิงกัญญาวีร์และเด็กหญิงสิริยากร บุตรผู้ตายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตเฉพาะข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน คดีสำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ส่วนจำเลยที่ 3 ความผิดฐานร่วมกันมีและพาอาวุธปืน มีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นและพาอาวุธปืน ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและใช้ให้ผู้อื่นฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 8
คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 3 ว่า จำเลยที่ 3 กระทำความผิดตามที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษามาหรือไม่ เห็นว่า พยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสามทุกปากเบิกความสอดคล้องลำดับเหตุการณ์สมเหตุผล ไม่มีพิรุธ และเมื่อพิจารณาประกอบกับที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 3 เป็นผู้ใช้ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และนายสุชาติจับตัวผู้ตายมาเพื่อรีดเค้นความจริงเกี่ยวกับรถยนต์ของจำเลยที่ 3 ที่หายไป ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า แม้รับฟังว่าจำเลยที่ 3 ใช้ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และนายสุชาติไปจับตัวผู้ตายมาก็ตาม จำเลยที่ 3 ไม่อาจคาดหมายได้ว่าผู้ตายจะต่อสู้ และจำเลยที่ 3 ไม่อาจเล็งเห็นผลได้ว่านายสุชาติจะใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายนั้น เห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสามรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 3 เพียงแต่ใช้ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และนายสุชาติจับตัวผู้ตายมาเพื่อเค้นหาความจริงเกี่ยวกับรถของจำเลยที่ 3 ที่หายไปเท่านั้น การที่นายสุชาติใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจนผู้ตายถึงแก่ความตายเนื่องจากผู้ตายต่อสู้ไม่ยอมให้จับตัวนั้น เป็นเหตุการณ์เฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นทันทีทันใด โดยจำเลยที่ 3 ไม่อาจคาดหมายได้ว่านายสุชาติจะกระทำเช่นนั้น เป็นการกระทำเกินขอบเขตที่ใช้ พฤติการณ์แห่งคดียังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 มีเจตนาร่วมกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และนายสุชาติฆ่าผู้ตาย แต่การที่จำเลยที่ 3 ใช้ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และนายสุชาติไปจับตัวผู้ตายมารีดเค้นหาความจริงดังกล่าว จำเลยที่ 3 ย่อมคาดหมายได้ว่าผู้ตายอาจขัดขืนและในการรีดเค้นความจริงจากผู้ตายอาจมีการต่อสู้ทำร้ายร่างกายเกิดขึ้น ถือว่าจำเลยที่ 3 ใช้ให้กระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายด้วย เมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 2 และนายสุชาติทำตามคำสั่งของจำเลยที่ 3 แล้วผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 3 ในฐานะผู้ใช้ให้กระทำความผิดจึงต้องรับผิดฐานทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ฎีกาข้ออื่นของจำเลยที่ 3 ไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษามานั้น ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 3 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน