คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6137/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องเกี่ยวกับเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นที่เข้าใจได้แล้วว่า โจทก์ทั้งสองจะต้องเสียดอกเบี้ยให้จำเลยอย่างไรในต้นเงินจำนวนเท่าไร เริ่มตั้งแต่เมื่อใด ถึงเมื่อใด และคิดเป็นเงินเท่าไร คำฟ้องของโจทก์ทั้งสองไม่เคลือบคลุม ฎีกาของจำเลยมิได้กล่าวอ้างว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาเรื่องนี้ไม่ถูกต้องอย่างไรคงคัดลอกข้อความในอุทธรณ์แทบทุกถ้อยคำเกี่ยวกับอุทธรณ์ที่ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมมาไว้ในฎีกาเท่านั้น ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาที่มิได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นอ้างอิงไว้โดยชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคแรก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นหนี้จำเลยอยู่ 190,000 บาทเนื่องจากโจทก์ทั้งสองมีที่ดินอยู่ 3 แปลง จำเลยจึงแนะนำให้โจทก์ทั้งสองไปกู้ยืมเงินจากธนาคารนำมาชำระหนี้ให้จำเลยแต่ผู้จัดการธนาคารแจ้งว่า โจทก์ทั้งสองไม่ได้เป็นลูกค้าของธนาคารไม่มีสิทธิขอกู้ยืมเงิน แต่จำเลยเป็นลูกค้ามีสิทธิขอกู้ยืมเงินได้และแนะนำให้โจทก์ทั้งสองโอนที่ดินให้แก่จำเลย โดยให้จำเลยเป็นผู้ขอกู้ยืมเงินแทน โจทก์ทั้งสองจึงได้จดทะเบียนโอนที่ดินทั้ง3 แปลง คือที่ดินโฉนดเลขที่ 20789 20790 และ 20791 ให้แก่จำเลยจำเลยสัญญาว่าเมื่อโจทก์ทั้งสองชำระหนี้ครบถ้วนแล้ว จำเลยจะโอนที่ดินทั้งสามแปลงดังกล่าวคืนโจทก์ทั้งสอง ธนาคารพิจารณาอนุมัติให้กู้ยืมเงินได้เพียง 150,000 บาท ซึ่งโจทก์ทั้งสองก็ได้ชำระหนี้ให้จำเลยไป ยังคงเป็นหนี้จำเลยอยู่อีก 40,000 บาท ต่อมาปี 2528โจทก์ทั้งสองขายที่ดินโฉนดเลขที่ 20789 และ 20790 ให้แก่นางสาวสดใส ส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ 20791 ซึ่งพิพาทกันในคดีนี้จำเลยขอยึดถือเอาไว้ก่อนโดยอ้างว่าโจทก์ทั้งสองยังค้างชำระหนี้จำเลยเป็นเงินต้น 40,000 บาท และดอกเบี้ย 40,000 บาท รวม80,000 บาท ต่อมาปี 2532 จำเลยแจ้งแก่โจทก์ทั้งสองว่า หากโจทก์ทั้งสองนำเงินไปชำระให้แก่จำเลย 160,000 บาท จำเลยก็จะโอนที่ดินพิพาทคืนโจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองบอกจำเลยว่า ยังไม่มีเงินชำระ จำเลยบอกว่าจะคิดดอกเบี้ยจากโจทก์ทั้งสอง ถ้าโจทก์ทั้งสองไม่ต้องการให้คิดต้องยินยอมให้จำเลยเข้าทำนาในที่ดินพิพาทต่างดอกเบี้ย โจทก์ทั้งสองจึงยอมให้จำเลยเข้าทำนาในที่ดินพิพาทเรื่อยมา ประมาณกลางปี 2533 โจทก์ทั้งสองได้ขอชำระหนี้ 160,000 บาทแก่จำเลยและขอให้จำเลยออกไปจากที่ดินพิพาทพร้อมกับโอนที่ดินพิพาทคืนโจทก์ทั้งสอง แต่จำเลยไม่ยอมปฏิบัติตาม โดยอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย โจทก์ทั้งสองไปตรวจสอบหลักฐานที่สำนักงานที่ดินจังหวัดชัยภูมิ ปรากฏว่าจำเลยได้นำที่ดินพิพาทไปจำนองเป็นประกันหนี้ไว้กับธนาคารกสิกรไทย ขอให้บังคับจำเลยไปไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 20791 แล้วนำโฉนดที่ดินดังกล่าวมามอบไว้ต่อศาล หากจำเลยไม่ยอมไถ่ถอนจำนอง ให้โจทก์ทั้งสองเป็นผู้ไถ่ถอนจำนองแทน โดยให้จำเลยเป็นผู้ชำระหนี้แก่ธนาคารและเสียค่าใช้จ่ายในการไถ่ถอนจำนอง หากจำเลยไม่ปฏิบัติตาม ให้บังคับเอาจากทรัพย์สินของจำเลยนำเงินไปชำระ ให้จำเลยรับชำระหนี้ 160,000 บาทจากโจทก์ทั้งสอง แล้วโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ทั้งสอง หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา กับให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาท ห้ามเกี่ยวข้องต่อไป
จำเลยให้การว่า โจทก์ทั้งสองบรรยายฟ้องว่า ปี 2527โจทก์ทั้งสองเป็นหนี้จำเลย 190,000 บาท แล้วโอนที่ดินให้จำเลยไปกู้ยืมเงินได้เงินมาชำระหนี้ 150,000 บาท คงค้าง 40,000 บาทต่อมาปี 2528 จำเลย (ที่ถูกควรเป็นโจทก์ทั้งสอง) ขายที่ดิน 2 แปลงใช้หนี้อีก 160,000 บาทและยังคงค้างชำระอีก 80,000 บาท โดยไม่ระบุกำหนดระยะเวลาแน่นอนว่าจากวันใดถึงวันใด คิดดอกเบี้ยเป็นจำนวนเงินเท่าใด จึงเป็นการอ้างลอย ๆ ฟ้องของโจทก์ทั้งสองในส่วนนี้เป็นประเด็นสำคัญของที่มาแห่งหนี้ เมื่อโจทก์ทั้งสองไม่บรรยายให้ชัดแจ้งฟ้องของโจทก์ทั้งสองจึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม โจทก์ทั้งสองกู้ยืมเงินจำเลย โดยมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 20789 20790 และ 20791 ทั้ง 3 แปลงให้จำเลยยึดถือไว้เป็นประกัน ตกลงว่าโจทก์ทั้งสองจะชำระดอกเบี้ยให้จำเลยทุกเดือน แต่ต่อมาโจทก์ทั้งสองไม่สามารถชำระดอกเบี้ยให้จำเลยได้ โจทก์ทั้งสองจึงตกลงโอนที่ดินดังกล่าวให้จำเลยเพื่อชำระหนี้ โดยจดทะเบียนโอนขายให้พร้อมกับมอบที่ดินให้จำเลยเข้าครอบครองอย่างเจ้าของเรื่อยมาหาใช่เป็นการโอนเพื่อให้จำเลยนำไปขอกู้ยืมเงินจากธนาคารแทนไม่ เมื่อปี 2530 จำเลยได้บอกขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ทั้งสองและบุคคลอื่นอีกหลายคน ในราคา 160,000บาท ตามราคาในขณะนั้น แต่ไม่มีผู้ใดตกลงซื้อ ข้อเสนอของจำเลยจึงหมดไป ครั้นปี 2533 ที่ดินบริเวณที่ดินพิพาทมีราคาสูงขึ้นโจทก์ทั้งสองได้มาขอซื้อจากจำเลยในราคาเดิม แต่จำเลยไม่ยอมขายโจทก์ทั้งสองจึงหาเหตุมาฟ้องเป็นคดีนี้ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาโจทก์ที่ 2 ถึงแก่กรรม นางจันทร์เพ็ญยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรับเงิน 160,000 บาทจากโจทก์ทั้งสองและโอนที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 20791 ให้แก่โจทก์ทั้งสอง หากว่าจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา กับให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินดังกล่าว คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาตามฎีกาของจำเลยว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ ปัญหาตามฎีกาดังกล่าว จำเลยได้อุทธรณ์มาแล้วและศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า โจทก์บรรยายฟ้องเกี่ยวกับเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นที่เข้าใจได้แล้วว่า โจทก์ทั้งสองจะต้องเสียดอกเบี้ยให้จำเลยอย่างไร ในต้นเงินจำนวนเท่าไร เริ่มตั้งแต่เมื่อใดถึงเมื่อใด และคิดเป็นเงินเท่าไร คำฟ้องของโจทก์ทั้งสองไม่เคลือบคลุม ฎีกาของจำเลยมิได้กล่าวอ้างว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษาเรื่องนี้ไม่ถูกต้องอย่างไร คงคัดลอกข้อความในอุทธรณ์ทุกถ้อยคำเกี่ยวกับอุทธรณ์ที่ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมมาไว้ในฎีกาเท่านั้น ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาที่มิได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นอ้างอิงไว้โดยชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยจึงไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาของจำเลย

Share