แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 169 ให้อำนาจศาลที่จะใช้ดุลพินิจได้ตามควรว่า กรณีใดควรจะออกหมายเรียก กรณีใดควรจะออกหมายจับ
ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์ถูกฟ้องเป็นคดีอาญาในความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค และเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาอีกคดีหนึ่ง ซึ่งศาลได้ออกหมายจับไว้แล้ว การที่ผู้พิพากษาใช้ดุลพินิจออกหมายจับโจทก์ตามคำแถลงของโจทก์ในคดีนั้น จึงเป็นการใช้ดุลพินิจโดยชอบตามอำนาจที่จะกระทำได้ ไม่มีทางที่จะฟังได้ว่าเป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ หรือเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบแต่อย่างใด กรณีไม่มีความจำเป็นจะต้องสั่งรับฟ้องของโจทก์ไว้เพื่อทำการไต่สวนมูลฟ้องก่อน
ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 196 ที่ว่าจะควบคุมตัวผู้ต้องหาไว้ได้เท่าเวลาที่จะถามคำให้การ และรู้ตัวว่าเป็นใครและที่อยู่ของเขาว่าอยู่ที่ไหนนั้น เป็นบทบัญญัติในเรื่องการควบคุมตัวผู้ต้องหา ไม่ใช่บทบัญญัติที่ห้ามศาลมิให้ออกหมายจับเพื่อให้ได้ตัวจำเลยมาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 169
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยรับราชการตำแหน่งผู้พิพากษา ออกนั่งไต่สวนมูลฟ้องคดีอาญา เรื่องความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค เมื่อไต่สวนพยานโจทก์เสร็จ จำเลยบันทึกว่า คดีมีมูลให้ประทับฟ้อง หมายจับจำเลยคือโจทก์คดีนี้มาดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป โดยมิได้ออกหมายเรียกก่อน เป็นการปฏิบัติผิดขั้นตอน การกระทำของจำเลยจึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยจงใจกลั่นแกล้งโจทก์ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗
ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้วมีคำสั่งไม่ประทับฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ในปัญหาข้อกฎหมายที่ว่าฟ้องของโจทก์ชอบด้วยกฎหมายที่ศาลจะต้องสั่งรับไว้เพื่อไต่สวนมูลฟ้องหรือไม่นั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๖๙ บัญญัติไว้ว่า “เมื่อศาลประทับฟ้องแล้ว แต่ยังไม่ได้ตัวจำเลยมา ให้ศาลออกหมายเรียก หรือหมายจับมาแล้วแต่ควรอย่างใด เพื่อพิจารณาต่อไป” ซึ่งจะเห็นได้ว่าตามบทกฎหมายนี้เป็นการให้อำนาจศาลที่จะใช้ดุลพินิจได้ตามสมควรว่ากรณีใดควรจะออกหมายเรียก กรณีใดควรจะออกหมายจับ นอกจากนี้ข้อเท็จจริงปรากฏอยู่ในรายงานกระบวนพิจารณา ลงวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๒๔ ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๓๒๒๑/๒๕๒๔ ของศาลชั้นต้นว่าโจทก์ในคดีดังกล่าวแถลงต่อศาลว่าจำเลยทั้งสอง (คือโจทก์คดีนี้กับนายเต็ก แซ่แต้) เป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยทังสองในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๒๙๗๐/๒๕๒๔ของศาลชั้นต้น ซึ่งศาลออกหมายจับไว้แล้ว ถ้าศาลเห็นว่าคดีมีมูลก็ขอให้ศาลออกหมายจับด้วยฉะนั้นการที่จำเลยซึ่งเป็นผู้พิพากษาใช้ดุลพินิจออกหมายจับโจทก์ จึงเป็นการใช้ดุลพินิจโดยชอบตามอำนาจที่จะกระทำได้ไม่มีทางที่จะฟังได้ว่าเป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ หรือเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามที่โจทก์บรรยายฟ้อง และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสั่งรับฟ้องของโจทก์ไว้เพื่อทำการไต่สวนมูลฟ้องก่อน
ส่วนในปัญหาที่ว่า คดีพิพาทกันด้วยเช็คมีมูลค่าเพียง ๗,๖๐๐ บาท ซึ่งตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๙๖ จะควบคุมตัวไว้ได้เท่าเวลาที่จะถามคำให้การ และให้รู้ตัวว่าเป็นใคร และที่อยู่เขาว่าอยู่ที่ไหนเท่านั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามประกาศของคณะปฏิวัติดังกล่าวเป็นบทบัญญัติในเรื่องการควบคุมตัวผู้ต้องหา ไม่ใช่บทบัญญัติที่ห้ามมิให้ศาลออกหมายจับเพื่อให้ได้ตัวจำเลยมา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๖๙ จึงไม่เกี่ยวกับเรื่องที่จำเลยออกหมายจับโจทก์
พิพากษายืน