แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ที่ถูกฉุดคร่าได้แจ้งแก่ผู้ใหญ่บ้านว่าคนร้ายฉุดคร่าขอให้จับกุมผู้ใหญ่บ้านไม่จับกุมและไม่รายงานดังนี้ ผู้ถูกฉุดคร่าอาจเป็นผู้เสียหายตามมาตรา 28 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ที่จะดำเนินการฟ้องร้องผู้ใหญ่บ้านเป็นจำเลยตาม กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 142 ได้ทั้งนี้สุดแล้วแต่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ใหญ่บ้าน จำเลยที่ 2 เป็นราษฎร นางสาวเคลือบได้กล่าวโทษต่อจำเลยที่ 1 ขอให้จับกุมนายชูกับพวก ซึ่งฉุดคร่านางสาวเคลือบไปเพื่อการอนาจาร และจำเลยทั้งสองได้สมคบกันหน่วงเหนี่ยวกักขังนางสาวเคลือบไว้ ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 142, 270, 276
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วสั่งว่า คดีมีมูลเฉพาะจำเลยที่ 2 ในข้อหาฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังตามมาตรา 270 และพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 1 อ้างว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยตามมาตรา 142
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาจำเลยที่ 1 แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 หาว่ามีเจตนาทุจริตละเว้นไม่ทำการจับกุมผู้กระทำผิดและไม่รายงานโดยมีเจตนาช่วยเหลือนายชูกับพวกผู้กระทำผิดให้พ้นอาญา หากเป็นความจริงตามที่โจทก์ฟ้องนางสาวเคลือบก็ตกอยู่ในฐานะเป็นผู้เสียหายได้ ทั้งนี้สุดแล้วแต่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณา
พิพากษายืน