แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาท จำเลยปักเสาและทำกำแพงคอนกรีตรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ แม้จะมีคำขอบังคับให้จำเลยรื้อถอนกำแพงคอนกรีตออกไปและทำให้ที่ดินกลับคืนสู่สภาพเดิม อันเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ แต่เมื่อจำเลยให้การว่า จำเลยกั้นรั้วล้อมรอบที่ดินของจำเลยเอง มิได้รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ ตามคำฟ้องและคำให้การมีประเด็นโต้เถียงความเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทซึ่งเป็นประเด็นหลักดังนั้น ตามคำฟ้องที่ขอให้จำเลยรื้อถอนกำแพงคอนกรีตออกไปและทำให้ที่ดินกลับคืนสู่สภาพเดิม จึงเป็นผลอันเนื่องมาจากว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ เพราะศาลจะบังคับตามคำขอนี้ได้ก็ต้องวินิจฉัยเสียก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นของฝ่ายใด จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้หรือคดีมีทุนทรัพย์ เมื่อจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกิน 50,000 บาท จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 15192 ตำบลห้วยทราย อำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เนื้อที่ 13 ไร่ 3 งาน 25 ตารางวา ส่วนจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์อยู่ทางทิศตะวันตกของที่ดินโจทก์ โดยมีทางสาธารณะคั่นกลาง เมื่อเดือนธันวาคม 2541 จำเลยได้ปักเสาและทำกำแพงคอนกรีตข้ามทางสาธารณประโยชน์รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ประมาณ 4 เมตร ทำให้โจทก์ไม่สามารถใช้ประโยชน์ในที่ดินของโจทก์ได้ หากโจทก์นำที่ดินดังกล่าวออกให้ผู้อื่นเช่าจะได้ค่าเช่าเดือนละ 1,000 บาท โจทก์คิดค่าเสียหายจากจำเลยนับแต่วันที่บุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 2,500 บาท ขอให้จำเลยรื้อถอนกำแพงคอนกรีตออกไปจากที่ดินของโจทก์ และทำให้ที่ดินกลับคืนสู่สภาพเดิม หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้โจทก์ทำการรื้อถอนโดยจำเลยเป็นฝ่ายออกค่าใช้จ่าย กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวน 2,500 บาท และให้ใช้ค่าขาดประโยชน์เดือนละ 1,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนกำแพงออกจากที่ดินของโจทก์
จำเลยยื่นคำให้การว่า จำเลยไม่ได้บุกรุกที่ดินโจทก์ แต่กั้นรั้วล้อมรอบที่ดินของจำเลยเอง ซึ่งเป็นที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 24 มิได้รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความในศาลชั้นต้น 1,000 บาท แทนจำเลย ให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดให้แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์นอกจากนี้ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า อุทธรณ์ของโจทก์ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ต้องถือว่าคำขอให้ขับไล่จำเลยออกไปจากที่ดินพิพาทเป็นคำขอหลักหรือคำขอประธาน จึงเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ แม้จะมีการคิดค่าเช่าหรือตีราคาที่ดินพิพาทในภายหลังรวมราคาทุนทรัพย์ 6,900 บาท ก็เป็นเพียงคำขอต่อเนื่องจากคำขอหลักซึ่งเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ คดีโจทก์ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงนั้น เห็นว่า โจทก์ฟ้องอ้างว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท จำเลยปักเสาและทำกำแพงคอนกรีตรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ แม้ตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์จะมีคำขอบังคับให้จำเลยรื้อถอนกำแพงคอนกรีตออกไปจากที่ดินพิพาท และทำให้ที่ดินกลับคืนสู่สภาพเดิม อันเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ก็ตาม แต่เมื่อจำเลยให้การต่อสู้ว่า จำเลยกั้นรั้วล้อมรอบที่ดินของจำเลยเอง ซึ่งเป็นที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 24 มิได้รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ จึงเห็นได้ว่าทั้งตามคำฟ้องของโจทก์และคำให้การของจำเลยเป็นเรื่องที่โจทก์จำเลยมีประเด็นข้อพิพาทเป็นเรื่องโต้เถียงความเป็นเจ้าของกันในที่ดินพิพาทซึ่งเป็นประเด็นหลัก ดังนั้น ตามคำฟ้องของโจทก์ที่ขอให้จำเลยรื้อถอนกำแพงคอนกรีตออกไปจากที่ดินพิพาทและทำให้ที่ดินกลับคืนสู่สภาพเดิม จึงเป็นผลอันเนื่องมาจากว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ เพราะศาลจะบังคับตามคำขอนี้ได้ก็ต้องวินิจฉัยเสียก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นของฝ่ายใด คดีนี้จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้หรือคดีมีทุนทรัพย์ เมื่อจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกิน 50,000 บาท อุทธรณ์ของโจทก์จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์มานั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ