แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ขณะผู้ตายถูกทำร้ายผู้ตายอยู่ลำพังคนเดียวมีเพียงเหล็กแบนท่อนหนึ่งเป็นอาวุธ จำเลยที่ 1ใช้ไม้หน้าสามตีแขนผู้ตายจนล้มไป และ ส. ใช้เหล็กท่อนตีท้ายทอยผู้ตาย ส่วนจำเลยที่ 2 ถือเหล็กแบนอยู่ในมือยืนอยู่ใกล้ ๆ แม้จำเลยที่ 2 จะรวมอยู่ในกลุ่มของ ส.และการทำร้ายผู้ตายมีสาเหตุสืบเนื่องมาจากผู้ตายวิวาทกับพวกจำเลยที่ 2 แต่ก็เป็นเหตุการณ์เฉพาะหน้าและเมื่อผู้ตายถูก ส. ทำร้าย ก็ไม่จำเป็นต้องให้ผู้อื่นช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกอีก ดังนี้ จึงไม่อาจถือว่าจำเลยที่ 2 มีส่วนให้ความช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกต่อจำเลยที่ 1 และ ส. ก่อนหรือขณะกระทำผิดจำเลยที่ 2 จึงไม่ใช่ผู้สนับสนุน ส. ฆ่าผู้ตาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 83
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1 ออกจากสารบบความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 86 จำคุก 10 ปีจำเลยที่ 2 ให้ความรู้แก่ศาล เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78ลดโทษให้หนึ่งในสี่ คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 7 ปี 6 เดือน
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ยุติตามคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีก่อนว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง นายสมมาตรหรืออู๊ด หลุยเจริญ กับพวกร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายผู้ตายโดยนายสมมาตรใช้เหล็กท่อนตีที่บริเวณท้ายทอยของผู้ตาย และผู้ตายถึงแก่ความตายในวันเกิดเหตุ นายสมมาตรต้องคำพิพากษาให้ลงโทษฐานฆ่าผู้อื่นคดีถึงที่สุด มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 2กระทำผิดฐานสนับสนุนผู้อื่นฆ่าผู้ตายหรือไม่ ตามคำนายสุรพล บุญญาสุรินทร์ และนายอรรถยุทธหรือจีรพัฒน์ เทพทรรศนะหรือเทพทรรศนา พยานโจทก์ว่าก่อนเกิดเหตุผู้ตายกับพวกประมาณ 7 คน นั่งดื่มสุราอยู่ใกล้กับบริเวณที่เกิดเหตุผู้ตายกับนายอรรถยุทธออกไปซื้อกับแกล้มเพื่อนำไปดื่มสุราต่อไปแต่ในระหว่างทางผู้ตายมีปากเสียงโต้แย้งกับนายอั๋นไม่ปรากฏชื่อและนามสกุล ผู้ตายกับนายอั๋นใช้กำลังประทุษร้ายต่อกัน ผู้ตายสู้ไม่ได้ นายอรรถยุทธจึงจูงมือพาผู้ตายหนีย้อนกลับไปทางเดิมได้ประมาณ 100 เมตร นายอั๋นกับพวกก็ไปดักรออยู่และร่วมกันรุมทำร้ายร่างกายผู้ตายกับนายอรรถยุทธ ตามแผนที่สังเขปแสดงบริเวณที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.15 ก็แสดงสถานที่ผู้ต้องหาทั้งหมดนั่งดื่มสุราก่อนเกิดเหตุซึ่งหมายถึงจำเลยที่ 2 กับนายสมมาตรนั่งดื่มสุราอยู่อีกกลุ่มหนึ่งที่ปากซอยสุดสาคร และผู้ตายกับพวกก็นั่งดื่มสุราอยู่อีกกลุ่มหนึ่งในซอยสุดสาคร นายสมมาตรพยานจำเลยทั้งสองก็เบิกความรับกับแผนที่สังเขปนั้นเมื่อจำเลยที่ 2 กับพวกผู้ร่วมดื่มสุราอยู่อีกกลุ่มหนึ่งและมีนายอั๋นไปวิวาทกับผู้ตาย ทั้งยังไปดักรอเพื่อรุมทำร้ายผู้ตายด้วย แสดงว่านายอั๋นกับพวก 7 ถึง 8 คน รู้ถึงเหตุการณ์ที่นายอั๋นกับผู้ตายวิวาทกันโดยตลอดมิฉะนั้นจะไม่อาจไปดักรอในระยะเวลาอันสั้นอย่างพร้อมเพรียง กันขณะที่ผู้ตายกับนายอรรถยุทธวิ่งย้อนกลับไปทางเดิมเพียงประมาณ 100 เมตรเท่านั้นเพราะมีระยะเวลาสั้นมาก ตามคำนางอนงค์ ใจชื่น มารดาผู้ตายพยานโจทก์ว่าผู้ตายและจำเลยที่ 2 ต่างอาศัยอยู่ในซอยสุดสาครที่เกิดเหตุด้วยกัน ที่นายอั๋นกับพวกสามารถไปดักรอย่อมต้องทราบอยู่ว่าผู้ตายหลบหนีไปยังที่ใดอีกด้วย ตามคำนายอรรถยุทธกับนายสุรพลว่าผู้ตายวิ่งไปยังสถานที่ร่วมดื่มสุราส่งข่าวให้นายสุรพลทราบว่าวิวาทกับผู้อื่นแล้วก็ย้อนออกไปนายอรรถยุทธว่าผู้ตายไปหยิบเหล็กแบนยาวประมาณ 2 เมตรไปด้วยโดยมีนายวิรัตน์ รำพึงจิตร ผู้ร่วมดื่มสุรากับผู้ตายวิ่งตามผู้ตายไป ที่ผู้ตายไปส่งข่าวและหยิบเหล็กแบนวิ่งย้อนออกไปตามเดิมนั้นบ่งชี้ว่าผู้ตายไปขอกำลังช่วยเหลือและตั้งใจไปต่อสู้กับนายอั๋นกับพวก นายวิรัตน์พยานโจทก์ว่าวิ่งตามผู้ตายประมาณ 500 เมตร ซึ่งเป็นที่เกิดเหตุก็พบจำเลยที่ 1ถือไม้หน้ากว้างสามนิ้วยาวประมาณ 1 เมตร จำเลยที่ 2ถือเหล็กยาวประมาณ 70 เซนติเมตร ส่วนพวกของจำเลยทั้งสองต่างถืออาวุธกันทุกคน นายวิรัตน์เรียกผู้ตายให้กลับเพราะจำเลยทั้งสองกับพวกมีกำลังมากกว่า ผู้ตายไม่รับฟังกลับฝ่าเข้าไปในกลุ่มจำเลยทั้งสอง แต่นายวิรัตน์วิ่งหนีย้อนกลับได้ประมาณ10 เมตร ที่พบนายอรรถยุทธและนายสุรพลวิ่งสวนทางตามมาทันถึงที่เกิดเหตุ นายวิรัตน์จึงวิ่งกลับไปยังที่เกิดเหตุอีกนายวิรัตน์ว่าจำเลยที่ 1 ตีที่แขนผู้ตาย 1 ที จนล้มไปและนายสมมาตรใช้เหล็กท่อนตีท้ายทอยผู้ตายอีก 1 ที ขณะที่ผู้ตายล้มอยู่ หลังจากนั้นไม่มีผู้ใดทำร้ายร่างกายผู้ตายอีกนายอรรถยุทธว่าจำเลยที่ 2 ถือเหล็กแบนยาวประมาณ 2 เมตรอยู่ในที่เกิดเหตุแต่ไม่กล่าวถึงรายละเอียดว่าอยู่ห่างจากผู้ตายเพียงใด แต่นายสุรพลว่า เมื่อวิ่งไปถึงจำเลยที่ 2 นายสมมาตรและนายอั๋นส่ายหน้าเดินออกจากที่ผู้ตายนอนอยู่ ที่ว่านายสมมาตรและจำเลยทั้งสองต่างถืออาวุธยืนอยู่ห่างผู้ตายนอนอยู่ 6 ถึง 7 เมตร จึงเป็นที่เข้าใจได้ว่าหลังจากที่นายสมมาตรตีท้ายทอยผู้ตายแล้ว ดังนั้นในขณะที่นายสมมาตรตีท้ายทอยผู้ตายและก่อนเวลานั้น จำเลยที่ 2 กระทำการอะไรบ้างพยานโจทก์ทั้งสามดังกล่าวไม่มีผู้ใดเบิกความกล่าวถึงพฤติการณ์ในขณะที่จำเลยที่ 1 ตีแขนผู้ตายจนล้มไปและนายสมมาตรตีท้ายทอยผู้ตายและก่อนเวลานั้น ซึ่งพอจะอนุมานได้ว่าจำเลยที่ 2ถือเหล็กแบนอยู่ใกล้ผู้ตาย ที่จำเลยที่ 2 ถือเหล็กแบนยาวประมาณ2 เมตร ร่วมอยู่ในกลุ่มของนายสมมาตรขณะที่นายสมมาตรตีผู้ตายก็มีสาเหตุสืบเนื่องจากกรณีผู้ตายวิวาทกับนายอั๋นผู้ร่วมดื่มสุรากับจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 1 ดังวินิจฉัยมาเป็นเหตุการณ์เฉพาะหน้าจำเลยที่ 2 และคนอื่น ๆ ต่างตัดสินใจในลักษณะต่างคนต่างทำมิได้คบคิดกัน การที่จำเลยที่ 2ถือเหล็กแบนยาวประมาณ 2 เมตร อยู่ใกล้กับจำเลยที่ 1และนายสมมาตรเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 1และนายสมมาตรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86อันเป็นความผิดฐานสนับสนุนหรือไม่ เห็นว่า เมื่อจำเลยที่ 1ก็ใช้ไม้หน้าสามตีแขนผู้ตายจนล้มไป นายสมมาตรจึงใช้เหล็กท่อนตีท้ายทอยผู้ตาย ที่นายสมมาตรตีผู้ตายเห็นได้ว่าไม่จำเป็นต้องให้ผู้อื่นช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกอื่นใดอีกเพราะผู้ตายอยู่ลำพังคนเดียวมีเพียงเหล็กแบนท่อนหนึ่งเป็นอาวุธและก็ถูกจำเลยที่ 1 ตีจนล้มไปจนไม่สามารถต่อสู้จำเลยที่ 2 เพียงแต่ถือเหล็กแบนอยู่ในมือยืนอยู่ใกล้ ๆ เท่านั้นไม่อาจถือว่ามีส่วนให้ความช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกต่อจำเลยที่ 1 และนายสมมาตรก่อนหรือขณะกระทำผิดจำเลยที่ 2 จึงไม่ใช่ผู้สนับสนุนนายสมมาตรฆ่าผู้ตายศาลอุทธรณ์ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน