คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6086/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จะพิจารณาว่าคดีใดต้องห้ามอุทธรณ์หรือไม่จะต้องพิจารณาตามกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่มีการยื่นอุทธรณ์โจทก์ยื่นอุทธรณ์เมื่อ20มีนาคม2535จึงต้องใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา224ที่แก้ไขใหม่ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่27ตุลาคม2534เป็นต้นไป แม้ว่าจำเลยจะได้เคยยื่นอุทธรณ์มาแล้วและศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้พิจารณาและพิพากษาใหม่โดยอุทธรณ์ของจำเลยไม่ต้องห้ามแต่ก็เป็นการยื่นอุทธรณ์ในขณะที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา224ที่แก้ไขใหม่ยังไม่มีผลบังคับเมื่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา224ที่แก้ไขใหม่มีผลบังคับแล้วกรณีจะไม่บังคับใช้แก่กรณีที่โจทก์ยื่นอุทธรณ์โดยยกเว้นไม่ให้ย้อนหลังหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสามรับเงินค่าที่ดินในส่วนของตนในฐานะทายาทโดยธรรมของนางคล้าย แล้วไปจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่โจทก์
จำเลย ที่ 1 ขาดนัด ยื่นคำให้การ
จำเลย ที่ 2 ที่ 3 ให้การ ขอให้ ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามรับเงินค่าที่ดิน และจดทะเบียนโอนที่ดินแก่โจทก์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน
จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นกำหนดวันนัดสืบพยานโจทก์แต่มิได้ส่งหมายแจ้งวันนัดให้จำเลยที่ 1 ทราบ จึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่แล้วพิพากษาตามรูปคดี
ศาลชั้นต้น พิจารณา ใหม่่ แล้ว พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษายก อุทธรณ์ โจทก์
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จะพิจารณาว่าคดีใดต้องห้ามอุทธรณ์หรือไม่จะต้องพิจารณาตามกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่มีการยื่นอุทธรณ์ซึ่งกรณีของโจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์มาเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2535จึงต้องใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 ที่แก้ไขใหม่ตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2534 อันมีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายตั้งแต่วันที่ 27 ตุลาคม 2534 เป็นต้นไป ซึ่งบทบัญญัติที่แก้ไขใหม่ได้เปลี่ยนแปลงการเป็นว่า การต้องห้ามอุทธรณ์ข้อเท็จจริงหรือไม่ ไม่ต้องพิจารณาจากจำนวนราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นยื่นคำฟ้อง แต่ให้พิจารณาให้ชั้นอุทธรณ์ โดยคดีที่ขึ้นมาสู่ศาลอุทธรณ์ภายหลังวันที่ 27 ตุลาคม 2534ต้องมีราคาทรัพย์สินหรือทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์เป็นจำนวนเกินกว่าห้าหมื่นบาทจึงจะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้ เมื่อกฎหมายบังคับให้มีผลใช้เช่นนี้แล้ว กรณีจะไม่บังคับใช้แก่กรณีของโจทก์โดยยกเว้นไม่ให้ย้อนหลังย่อมทำไม่ได้ ส่วนที่โจทก์อ้างว่าคดีนี้มีการยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ภาค 3 มาแล้วโดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นผู้ยื่นครั้งแรกก่อนที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 จะพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้พิจารณาและพิพากษาใหม่ จำเลยที่ 2 และที่ 3 ก็สามารถยื่นได้ แต่เมื่อโจทก์ยื่นอุทธรณ์กลับไม่ได้นั้นปรากฎว่าคดีนี้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ยื่นอุทธรณ์เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2530ซึ่งเป็นวันเวลาที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224ที่แก้ไขใหม่ยังไม่มีผลใช้บังคับ จำเลยที่ 2 และที่ 3 จะอุทธรณ์ได้หรือไม่จึงต้องพิจารณาตามกฎหมายเดิมก่อนที่มีการแก้ไขและเมื่อได้ความว่าจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในศาลชั้นต้นมีจำนวนเกินกว่าสองหมื่นบาท คดีของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ขณะนั้นจึงอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้ ต่างกับกรณีของโจทก์ซึ่งยื่นอุทธรณ์ภายหลังมาตรา 224ที่แก้ไขใหม่มีผลใช้บังคับแล้ว ศาลอุทธรณ์ภาค 3 จึงไม่มีอำนาจวินิจฉัย
พิพากษายืน

Share