คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 608/2485

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การขู่เข็ญให้เจ้าทรัพย์ส่งทรัพย์ให้ในขณะนั้น ไม่ใช่เป็นผิดฐานกันโชกหรือพยายามกันโชก เมื่อศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยข้อกล่าวหาตามฟ้องโจทก์ในข้อใด ต้องถือว่าศาลชั้นต้นได้ยกข้อหา เมื่อฝ่ายโจทก์มิไดอุทธรณ์คัดค้านประการใด ก็ย่อมเป็นอันเด็ดขาดไปเฉพาะข้อหานั้น

ย่อยาว

โจทย์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายอาญามาตรา ๒๖๘,๓๐๓ ศาลชั้นต้นพิจารณาเห็นว่าการกระทำของจำเลยเพื่อให้เจ้าทุกข์เห็นอิทธิพลเกรงกลัวจำเลย คดีฟังได้ว่าจำเลยได้สมคบกันใช้วาจาและเขียนหนังสือขู่เข็ญข่มขืนใจให้เจ้าทุกข์สัญญาว่าจะส่งทรัพย์ให้ เป็นผิดกฎหมายอาญามาตรา ๓๐๓ พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยคนละ ๑ ปี ๖ เดือน
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าตามฟ้องโจทก์แบ่งแยกได้เป็น ๒ ฐาน คือหาว่าจำเลยสมคบกันกระทำผิดฐานกันโชกขู่เข็ญขืนใจให้เจ้าทุกข์สัญญาจะส่งทรัพย์ให้แก่จำเลยฐานหนึ่ง และใช้วาจาขู่เข็ญขืนใจเจ้าทุกข์ไปติดตามเจ้าทุกข์อีกคนหนึ่งให้มาพบจำเลยซึ่งโจทก์ประสงค์จะลงโทษฐานกระทำให้เสื่อมเสียอิสระภาพอีกฐานหนึ่ง ข้อหาฐานนี้ศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยลงโทษ โจทก์มิได้อุทธรณ์คัดค้านเป็นอันยุติ ข้อหาในความผิดฐานกันโชกที่จะต้องวินิจฉัยเห็นว่าข้อเท็จจริงที่ฟังมา การกระทำของจำเลยยังไม่เป็นผิดฐานกันโชก ศาลอุทธรณ์จึงพิพากษาตลอดถึงจำเลยที่มิได้อุทธรณ์ด้วย ตามประมวลวิธีพิจารณาอาญามาตรา ๒๑๓ ให้ยกฟ้อง ปล่อยจำเลยทุกคน
โจทก์ฎีกา ๑.ศาลควรลงโทษจำเลยฐานพยายามกันโชก หรือ
๒ ถ้าจำเลยไม่มีผิดฐานพยายามกันโชกก็ควรลงฐานทำให้เสื่อมเสียอิสรภาพ
ศาลฎีกาเห็นว่าการกระทำของจำเลยยังไม่เป็นผิดฐานกันโชก ส่วนที่ว่าจะเป็นพยายามกันโชกและลงโทษได้หรือไม่นั้น ข้อเท็จจริงไม่ได้ความว่าจำเลยได้บังคับขู่เข็ญขืนใจเพื่อให้เจ้าทุกข์รับสัญญาจะส่งทรัพย์ให้ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๓๐๓ กฎหมายอาญาแต่หากเป็นเรื่องที่จำเลยบังคับขู่เข็ญให้ส่งทรัพย์ให้แก่จำเลยในขณะนั้นเอง หาใช่เป็นความผิดฐานกันโชกหรือพยายามกันโชกไม่ ส่วนข้อว่าควรลงโทษฐานทำให้เสื่อมเสียอิสรภาพ ข้อทำให้เสื่อมเสียอิสรภาพศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัย ต้องถือว่าได้ยกข้อหานั้นเสีย ฝ่ายโจทก์ก็เป็นที่พอใจมิได้อุทธรณ์ต่อมา ข้อหาข้อนี้จึงเป็นอันเด็ดขาดไป จึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์

Share