คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6077/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ขณะจำเลยจดทะเบียนสมรสกับ น. เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2522น. จดทะเบียนสมรสกับโจทก์อยู่ก่อนแล้ว ฉะนั้นการสมรสระหว่างจำเลยกับ น. จึงฝ่าฝืนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1452ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1496 เดิมซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น การตกเป็นโมฆะดังกล่าวมีผลเท่ากับว่าจำเลยและ น. มิได้ทำการสมรสกัน ดังนั้นการจดทะเบียนสมรสระหว่างโจทก์และ น. ในครั้งหลังจึงกระทำในขณะที่จำเลยไม่มีฐานะเป็นคู่สมรสของ น. การสมรสระหว่างโจทก์และ น. จึงชอบด้วยกฎหมายโจทก์จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 133 เดิม และมาตรา 1497 เดิม มีอำนาจฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าการสมรสระหว่างจำเลยกับ น. เป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1496 เดิมได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของร้อยตำรวจเอกนิคม จดทะเบียนสมรสกันเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2519มีบุตรด้วยกัน 1 คน ต่อมาในวันที่ 20 สิงหาคม 2523 โจทก์และร้อยตำรวจเอกนิคมได้จดทะเบียนหย่าขาดจากกันและจดทะเบียนสมรสกันใหม่ในวันที่ 21 สิงหาคม 2523 เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2533ร้อยตำรวจเอกนิคมได้ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตลง ปรากฏว่าร้อยตำรวจเอกนิคมได้จดทะเบียนสมรสกับจำเลยเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน2522 การสมรสระหว่างร้อยตำรวจเอกนิคมกับจำเลยจึงเป็นโมฆะแต่จำเลยยังใช้สิทธิในการขอรับเงินบำนาญพิเศษและบำเหน็จตกทอดกับเงินอื่น ๆ ตามสิทธิที่พึงได้รับในฐานะภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้พิพากษาว่าการสมรสระหว่างจำเลยกับร้อยตำรวจเอกนิคมเป็นโมฆะ
จำเลยให้การว่า จำเลยได้จดทะเบียนสมรสกับร้อยตำรวจเอกนิคมโดยไม่ทราบมาก่อนว่าร้อยตำรวจเอกนิคมมีโจทก์เป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่ก่อนแล้ว หากทราบจำเลยจะไม่ยินยอมสมรสกับร้อยตำรวจเอกนิคมด้วย การสมรสของจำเลยกระทำไปโดยสุจริต เปิดเผยอยู่กินด้วยกันโดยเปิดเผยจนมีบุตร 4 คน จำเลยเพิ่งทราบเมื่อถูกโจทก์ฟ้องเป็นคดีนี้ การที่โจทก์จดทะเบียนหย่ากับร้อยตำรวจเอกนิคมเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2523 แล้วมาจดทะเบียนสมรสกันใหม่เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2523 นั้น เป็นการจดทะเบียนสมรสซ้อนกับการจดทะเบียนสมรสระหว่างจำเลยกับร้อยตำรวจเอกนิคม โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับว่า การสมรสระหว่างจำเลยกับนายนิคมหรือร้อยตำรวจเอกนิคมเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2522เป็นโมฆะ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่าปัญหาตามฎีกาของจำเลยว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่นั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่โจทก์จำเลยนำสืบว่า ขณะที่จำเลยกับร้อยตำรวจเอกนิคมจดทะเบียนสมรสกันเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2522 ร้อยตำรวจเอกนิคมจดทะเบียนสมรสกับโจทก์อยู่ก่อนแล้ว ฉะนั้นการสมรสระหว่างจำเลยกับร้อยตำรวจเอกนิคมจึงฝ่าฝืนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1452ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1496 เดิมซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น การตกเป็นโมฆะดังกล่าวมีผลเท่ากับว่าจำเลยและร้อยตำรวจเอกนิคมมิได้ทำการสมรสกัน ดังนั้นการจดทะเบียนสมรสระหว่างโจทก์และร้อยตำรวจเอกนิคมในครั้งหลังจึงกระทำในขณะที่จำเลยไม่มีฐานะเป็นคู่สมรสของร้อยตำรวจเอกนิคมการสมรสระหว่างโจทก์และร้อยตำรวจเอกนิคมจึงชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 133 เดิมและมาตรา 1497 เดิม มีอำนาจฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าการสมรสระหว่างจำเลยกับร้อยตำรวจเอกนิคมเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1496 เดิม
พิพากษายืน

Share