คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6070/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยนำเงินค่าเช่าไปวางไว้ ณ สำนักงานวางทรัพย์โดยกำหนดเงื่อนไขในการรับเงินว่าต้องเป็นเจ้าหนี้ที่มีคำสั่งศาลถึงที่สุดมาแสดงนั้น ก็เพื่อประโยชน์แก่โจทก์ทั้งสองหรือบริษัท อ. เจ้าหนี้ผู้มีสิทธิให้เช่าอันแท้จริงซึ่งจำเลยไม่อาจหยั่งรู้ได้แน่นอน การวางเงินของจำเลยจึงมีเหตุผลโดยชอบและมิใช่ความผิดของจำเลยจำเลยมีสิทธิที่จะวางทรัพย์ชำระเงินค่าเช่าได้อันเป็นผลให้จำเลยหลุดพ้นจากหนี้ค่าเช่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 331

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากพื้นที่เช่า กับให้จำเลยร่วมกันชำระเงิน 127,552 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยและค่าเสียหายเป็นรายเดือน เดือนละ 20,000 บาทนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากพื้นที่เช่า
จำเลยให้การว่า จำเลยทำสัญญาเช่าบริเวณที่พิพาทจากโจทก์ทั้งสองโดยไม่ทราบว่าโจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธินำที่พิพาทออกให้เช่าได้ในเดือนเมษายน 2534 โจทก์ทั้งสองไม่ยอมเก็บค่าเช่าและบริษัท เอ็ม บี เค พร็อพเพอร์ตี้ส์แอนด์ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัดซึ่งเป็นผู้มีสิทธิให้เช่าได้เรียกร้องและขอรับค่าเช่าจากจำเลยจำเลยจึงได้นำค่าเช่า นับแต่เดือนเมษายน 2534 ไปวางไว้ที่สำนักงานวางทรัพย์กลาง กรมบังคับคดี และวางค่าเช่าติดต่อกันจนถึงปัจจุบัน จำเลยจึงไม่เป็นฝ่ายผิดนัดชำระค่าเช่า โจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินพร้อมบริวารออกไปจากพื้นที่เช่า ให้ชำระค่าเช่าที่ค้างจำนวน 72,000 บาทแก่โจทก์ทั้งสองพร้อมดอกเบี้ยและให้จำเลยชำระค่าเสียหายเดือนละ 14,400 บาท นับแต่วันที่ 16 กันยายน 2534 จนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากพื้นที่เช่า
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าการที่จำเลยนำเงินค่าเช่าไปวางไว้ ณ สำนักงานวางทรัพย์เพื่อให้เจ้าหนี้ที่แท้จริงรับไป หากโจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าหนี้ที่แท้จริงก็ถือว่าได้ชำระค่าเช่าให้แก่โจทก์ทั้งสองแล้วจำเลยจึงไม่ตกเป็นผู้ผิดนัด โจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าแก่จำเลยนั้น เห็นว่า จำเลยเข้าอยู่ในพื้นที่เช่าโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่าช่วงกับโจทก์ทั้งสอง และก่อนที่จำเลยจะทำสัญญาเช่ากับบริษัทมาบุญครองอบพืชและไซโล จำกัด(บริษัท เอ็ม บี เค พร็อพเพอร์ตี้ส์แอนด์ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด)จำเลยยังอยู่ในพื้นที่เช่าโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่าช่วงกับโจทก์ทั้งสอง ดังนั้น จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องชำระค่าเช่าตามสัญญาให้แก่โจทก์ทั้งสองซึ่งจำเลยก็ได้ชำระค่าเช่า ให้โจทก์ทั้งสองตลอดมาจนถึงเดือนมีนาคม 2534 ต่อมาจำเลยได้รับแจ้งจากบริษัทเอ็ม บี เค พร็อพเพอร์ตี้ส์แอนด์ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัดเจ้าของพื้นที่พิพาทแจ้งให้ทราบว่า นางสาวสุวภีผู้เช่าพื้นที่พิพาทและโจทก์ทั้งสองหมดสิทธิในสัญญาเช่าที่ทำกับบริษัทดังกล่าวแล้ว ให้จำเลยไปทำสัญญาเช่ากับบริษัทและชำระค่าเช่าแก่บริษัทโดยตรง มิฉะนั้นบริษัทจะตัดไฟฟ้าทำให้จำเลยขายสินค้าไม่ได้ตามหนังสือแจ้งของบริษัทเอกสารหมาย จ.1จำเลยจึงได้ไปทำสัญญาเช่าพื้นที่พิพาทกับบริษัทดังกล่าวซึ่งขณะนั้นสัญญาเช่าพื้นที่พิพาทระหว่างจำเลยและโจทก์ทั้งสองยังไม่สิ้นสุด ดังนี้จะเห็นได้ว่าบุคคลผู้ตกอยู่ในภาวะเช่นจำเลยซึ่งมีเจตนาจะเช่าพื้นที่พิพาทไม่สามารถจะหยั่งรู้ถึงสิทธิในการให้เช่าพื้นที่พิพาทได้แน่นอนว่า ระหว่างโจทก์ทั้งสองและบริษัทดังกล่าวซึ่งต่างก็อ้างว่าเป็นผู้มีสิทธิให้เช่าพื้นที่พิพาทได้ทั้งสองฝ่ายว่าใครจะเป็นผู้มีสิทธิอันแท้จริงกันแน่จำเลยจึงได้นำเงินค่าเช่าตั้งแต่เดือนเมษายน 2534 ไปวางไว้ที่สำนักงานวางทรัพย์กลาง กรมบังคับคดีตลอดมา จำนวนเงินค่าเช่าแต่ละเดือนที่จำเลยวางไว้เป็นเงินเดือนละ 14,400 บาท เท่ากับค่าเช่าที่ตกลงไว้กับโจทก์ทั้งสองซึ่งมากกว่าที่จำเลยตกลงไว้กับบริษัทเจ้าของพื้นที่พิพาท การวางเงินค่าเช่าของจำเลยดังกล่าวก็โดยเจตนาจะชำระค่าเช่าเพื่อประโยชน์แก่โจทก์ทั้งสองหรือบริษัทเจ้าของพื้นที่พิพาท เจ้าหนี้ผู้มีสิทธิอันแท้จริงซึ่งจำเลยไม่อาจจะหยั่งรู้ได้แน่นอนนั่นเองและการที่จำเลยวางเงื่อนไขในการรับเงินว่าต้องเป็นเจ้าหนี้ที่มีคำสั่งศาลถึงที่สุดมาแสดงซึ่งมีความหมายว่าศาลมีคำสั่งฟังได้ว่าเจ้าหนี้ผู้นั้นเป็นผู้มีสิทธิในการให้เช่านั้นเองจำเลยจึงจำเป็นต้องวางเงื่อนไขดังกล่าวเพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้ทั้งสองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งซึ่งมีสิทธิอันแท้จริง หากไม่วางเงื่อนไขดังกล่าวไว้โจทก์ทั้งสองหรือบริษัทเจ้าของพื้นที่พิพาทฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจขอรับเงินที่จำเลยวางไว้โดยยังมิได้พิสูจน์สิทธิอันแท้จริงไปก็ได้ ดังนั้น การวางเงินค่าเช่าของจำเลยดังกล่าวจึงมีเหตุผลโดยชอบและมิใช่ความผิดของจำเลย จำเลยมีสิทธิที่จะวางทรัพย์ชำระเงินค่าเช่าได้ อันเป็นผลให้จำเลยหลุดพ้นจากหนี้ค่าเช่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 331 จำเลยจึงหาเป็นผู้ผิดนัดชำระค่าเช่าแก่โจทก์ทั้งสองไม่ โจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าช่วงและฟ้องขับไล่เรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น และไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาตามฎีกาข้ออื่นของจำเลยต่อไป เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share