คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 607/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยกับบริวารออกจากที่ดินตามฟ้องและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ และออกคำบังคับให้ตามคำขอของโจทก์ จำเลยจึงมีหน้าที่ปฏิบัติตามคำพิพากษาด้วยการออกไปจากที่ดินและใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ การที่จำเลยยื่นฟ้องโจทก์เป็นอีกคดีหนึ่ง ขอให้โจทก์กับพวกขายที่ดินดังกล่าวแก่จำเลยตามข้อตกลงในสัญญาเช่านั้น หากจำเลยชนะคดีจำเลยก็มีสิทธิเพียงบังคับให้โจทก์กับพวกขายที่ดินให้จำเลย คดีทั้งสองจึงมีวัตถุแห่งหนี้เป็นคนละอย่างต่างกัน โดยสภาพไม่อาจหักกลบลบหนี้กันได้ ไม่มีเหตุที่ศาลจะมีคำสั่งให้งดการบังคับคดีไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 293 การออกคำสั่งอนุญาตตามคำขอให้งดการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 293 หรือไม่ ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้ศาลจะต้องทำการไต่สวนเสียก่อน แต่ตามมาตรา 21(4)ศาลก็มีอำนาจทำการไต่สวนตามที่เห็นสมควรก่อนมีคำสั่งได้ เมื่อกรณีตามคำร้องของจำเลย ไม่มีเหตุที่ศาลจะมีคำสั่งให้งดการบังคับคดีจึงไม่มีเหตุสมควรที่ศาลจะทำการไต่สวน

ย่อยาว

กรณีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินตามฟ้อง และได้ออกคำบังคับตามคำขอของโจทก์ จำเลยยื่นคำร้องว่าตามข้อตกลงในสัญญาเช่าที่ดินตามฟ้อง จำเลยมีสิทธิเรียกร้องให้โจทก์กับพวกขายที่ดินให้จำเลย และจำเลยได้ฟ้องโจทก์กับพวกให้ขายที่ดินดังกล่าวแล้วเป็นอีกคดีหนึ่ง ถ้าจำเลยเป็นฝ่ายชนะคดี จำเลยก็ไม่ต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินตามฟ้องเพราะสามารถหักกลบลบหนี้กันได้ขอให้งดการบังคับคดีนี้ไว้จนกว่าคดีดังกล่าวจะถึงที่สุด ศาลชั้นต้นให้ยกคำร้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาว่า วัตถุแห่งหนี้ในคดีนี้กับในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 25089/2528 ของศาลแพ่งเป็นอย่างเดียวกันสามารถหักกลบลบหนี้กันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 293 นั้น เห็นว่า แม้ที่ดินตามฟ้องในคดีนี้กับที่ดินตามฟ้องในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 25089/2528 ของศาลแพ่งจะเป็นที่ดินแปลงเดียวกัน แต่คดีนี้เป็นเรื่องจำเลยเช่าที่ดินตามฟ้องจากบิดาโจทก์เมื่อสัญญาเช่าครบกำหนดแล้ว โจทก์ผู้รับมรดกได้ฟ้องขับไล่จำเลยจำเลยเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งมีหน้าที่จะต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาด้วยการออกไปจากที่ดินตามฟ้องและใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ส่วนคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 25089/2528 ของศาลแพ่ง หากจำเลยชนะคดีจำเลยก็มีสิทธิเพียงบังคับให้โจทก์ (ในคดีนี้) กับพวกขายที่ดินให้จำเลย วัตถุแห่งหนี้เป็นคนละอย่างต่างกัน โดยสภาพไม่อาจหักกลบลบหนี้กันได้ จึงไม่มีเหตุที่ศาลจะมีคำสั่งให้งดบังคับคดีไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 293 ฎีกาข้อนี้ฟังไม่ขึ้นที่จำเลยฎีกาว่า ศาลควรทำการไต่สวนคำร้องของจำเลยเสียก่อนที่จะมีคำสั่งยกคำร้อง เพราะคำร้องของจำเลยมีเหตุที่สมควรจะไต่สวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 21(4) และการที่ศาลชั้นต้นออกนั่งพิจารณาสอบถามโจทก์จำเลยเกี่ยวกับคำร้องของจำเลย(ลงวันที่ 5 มีนาคม 2529 ตามรายงานกระบวนพิจารณา ลงวันที่ 9เมษายน 2529) มิได้เป็นการไต่สวนนั้น เห็นว่า การออกคำสั่งอนุญาตตามคำขอให้งดบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 293หรือไม่ ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้ศาลจะต้องทำการไต่สวนเสียก่อนแต่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 21(4) ศาลก็มีอำนาจทำการไต่สวนตามที่เห็นสมควรก่อนมีคำสั่งได้ ในปัญหาว่าคำร้องของจำเลยลงวันที่ 5 มีนาคม 2529 ซึ่งเป็นคำขอให้งดบังคับคดีมีเหตุสมควรที่ศาลจะทำการไต่สวนหรือไม่ ศาลฎีกาได้วินิจฉัยมาแล้วว่า กรณีตามคำร้องของจำเลยดังกล่าว ไม่มีเหตุที่ศาลจะมีคำสั่งให้งดบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 293 ได้จึงไม่มีเหตุสมควรที่ศาลจะทำการไต่สวน เมื่อไม่มีเหตุสมควรจะทำการไต่สวนแล้วจึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่า การที่ศาลชั้นต้นออกนั่งพิจารณาสอบถามโจทก์จำเลยเกี่ยวกับคำร้องของจำเลยดังกล่าวดังรายละเอียดที่ศาลฎีกายกขึ้นกล่าวในตอนต้นแห่งคำพิพากษานี้เป็นการไต่สวนหรือไม่ ฎีกาข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน

Share