คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6061/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ผู้ร้องนำสืบแสดงสำเนาคำสั่งเอกสารหมาย ร.1ต่อศาลผู้คัดค้านก็มิได้นำสืบโต้แย้งว่าผู้ร้องมิได้ส่งต้นฉบับคำสั่งเอกสารหมาย ร.1 เมื่อศาลวินิจฉัยรับฟังตามสำเนาเอกสารดังกล่าว ถือได้ว่าศาลได้อนุญาตให้นำสำเนาเอกสารมาสืบได้ในกรณีไม่สามารถนำต้นฉบับเอกสารมาได้โดยประการอื่น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 93(2) แล้ว โดยผู้ร้องไม่จำต้องขออนุญาตศาลก่อนและการที่ส.หัวหน้าเขตหรือผู้อำนวยการเขตมาเบิกความยืนยันว่าได้รับมอบอำนาจตามสำเนาคำสั่งเอกสารหมายร.1 จากผู้ร้อง ก็เป็นอันเพียงพอให้รับฟังได้ว่า ผู้ร้องมอบอำนาจให้หัวหน้าเขตหรือผู้อำนวยการเขตปฏิบัติราชการแทนตามสำเนาคำสั่งเอกสารหมาย ร.1 ผู้อำนวยการเขตจึงมีอำนาจปฏิบัติราชการแทนผู้ร้องตามที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง ผู้ร้องจัดให้มีการส่งคำสั่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับไปยังภูมิลำเนาของผู้คัดค้านตามสำเนาทะเบียนบ้านโดยปรากฏว่าเป็นการส่งให้แก่บุคคลที่มีชื่อกับที่อยู่ของผู้คัดค้านซึ่งเป็นผู้รับ และมีผู้รับแทนเป็นพี่ของผู้คัดค้านกับคนในบ้านของผู้คัดค้าน โดยผู้คัดค้านมิได้นำสืบโต้เถียงความถูกต้องแท้จริงแห่งสำเนาเอกสารดังกล่าวจึงเพียงพอรับฟังได้ว่า ผู้คัดค้านทราบคำสั่งของผู้ร้องแล้วตามวิธีการแจ้งคำสั่งที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติควบคุมอาคารพ.ศ. 2522 มาตรา 47 ก่อนมีการแก้ไขเพิ่มเติม เมื่อผู้ร้องได้ออกคำสั่งถูกต้องตามขั้นตอนชอบด้วยกฎหมายและผู้คัดค้านทราบคำสั่งดังกล่าวแล้ว เพิกเฉยไม่รื้อถอนอาคารพิพาทภายในเวลาที่กำหนดไว้ในคำสั่ง ผู้ร้องชอบที่จะยื่นคำขอฝ่ายเดียวโดยทำเป็นคำร้องต่อศาล ขอให้จับกุมและกักขังผู้คัดค้านซึ่งมิได้ปฏิบัติตามคำสั่งให้รื้อถอนดังกล่าวได้โดยให้นำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาใช้บังคับโดยอนุโลม โดยผู้ร้องไม่จำต้องทำเป็นคำฟ้องและไม่จำต้องร้องขอออกคำบังคับแก่ผู้คัดค้าน กับไม่ต้องคำนึงว่าผู้ร้องมีอำนาจรื้อถอนอาคารพิพาทอยู่แล้ว หรือผู้คัดค้านขัดขวางการรื้อถอนอาคารพิพาทหรือไม่ ทั้งนี้ เป็นไปตามบทบัญญัติมาตรา 43(1) แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 27 มิถุนายน 2534ถึงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2534 ผู้คัดค้านได้ทำการก่อสร้างอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก 3 ชั้นจำนวน 1 หลัง บนที่ดินของตนเองต่อมาผู้คัดค้านได้เพิ่มเติมอาคารจาก 3 ชั้น เป็น 8 ชั้น โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามกฎหมาย อันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 เจ้าพนักงานท้องถิ่นเขตบางคอแหลมตรวจพบจึงมีคำสั่ง ให้ผู้คัดค้านระงับการก่อสร้างและให้ดำเนินการแก้ไขและให้ยื่นคำขอรับใบอนุญาตก่อสร้างอาคาร ผู้คัดค้านได้รับแจ้งคำสั่งแล้วเพิกเฉย ต่อมาเจ้าพนักงานท้องถิ่นมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านรื้อถอนอาคารทั้งหมดให้เสร็จภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำสั่งผู้คัดค้านได้รับแจ้งคำสั่งแล้ว แต่ผู้คัดค้านยังดำเนินการก่อสร้างอาคารจนแล้วเสร็จโดยไม่ได้รื้อถอนอาคารตามคำสั่งและมิได้อุทธรณ์คัดค้านคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ผู้คัดค้านถูกศาลแขวงพระนครใต้พิพากษาลงโทษตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 21, 65คดีถึงที่สุดแล้ว ขอให้มีคำสั่งจับกุมผู้คัดค้านและกักขังผู้คัดค้านไว้จนกว่าผู้คัดค้านจะรื้อถอนอาคารที่ก่อสร้างโดยฝ่าฝืนกฎหมายออกไปเสร็จสิ้น
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จับกุมผู้คัดค้าน มากักขังไว้จนกว่าผู้คัดค้านจะรื้อถอนอาคารที่ก่อสร้างทั้งหมดที่ฝ่าฝืนกฎหมายออกไป
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จับกุมผู้คัดค้านมากักขังไว้จนกว่าผู้คัดค้านจะปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่น แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินหกเดือนนับแต่วันถูกจับหรือกักขัง ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 43(1)ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 300 วรรคแรกนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาคณะคดีปกครองวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่ากรุงเทพมหานครเป็นนิติบุคคลซึ่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครผู้ร้องเป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนมีอำนาจเกี่ยวกับพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522ผู้คัดค้านซึ่งเป็นเจ้าของและผู้ครอบครองอาคารพิพาทได้ก่อสร้างอาคารพิพาทสูง 3 ชั้น บนที่ดินของตนโดยไม่ได้รับอนุญาตแล้วถูกดำเนินคดีจนศาลแขวงพระนครใต้ได้พิพากษาลงโทษผู้คัดค้านไปแล้ว เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2534 นายสุทธิ กิติคุณหัวหน้าเขตหรือผู้อำนวยการเขตบางคอแหลมออกคำสั่งให้ผู้คัดค้านระงับการก่อสร้าง ให้ดำเนินการแก้ไขและให้ยื่นคำขอรับใบอนุญาตก่อสร้างอาคารพิพาทภายใน 30 วัน ตามสำเนาคำสั่งเอกสารหมาย ร.3 และ ร.4 ผู้คัดค้านยังคงก่อสร้างอาคารพิพาทต่อไปเพิ่มเป็นสูง 8 ชั้น ต่อมาวันที่ 19 กันยายน 2534 นายสุทธิผู้อำนวยการเขตบางคอแหลมได้ออกคำสั่งให้ผู้คัดค้านรื้อถอนอาคารพิพาทภายใน 30 วัน ตามสำเนาคำสั่งเอกสารหมาย ร.8ผู้คัดค้านเพิกเฉยและมิได้อุทธรณ์คำสั่ง โดยผู้คัดค้านฎีกาว่าผู้อำนวยการเขตบางคอแหลมไม่มีอำนาจปฏิบัติราชการแทนผู้ร้อง เพราะผู้ร้องมิได้ขออนุญาตศาลเพื่อนำสืบสำเนาคำสั่งเอกสารหมาย ร.1 แทนต้นฉบับ และมิได้นำตัวผู้ร้องมาสืบถึงการออกคำสั่งดังกล่าว เห็นว่า การที่ผู้ร้องนำสืบแสดงสำเนาคำสั่งเอกสารหมาย ร.1 ต่อศาล ผู้คัดค้านก็มิได้นำสืบโต้แย้งว่าผู้ร้องมิได้ส่งต้นฉบับคำสั่งเอกสารหมาย ร.1 แต่อย่างใดเมื่อศาลวินิจฉัยรับฟังตามสำเนาเอกสารดังกล่าว ถือได้ว่าศาลได้อนุญาตให้นำสำเนาเอกสารมาสืบได้ในกรณีไม่สามารถนำต้นฉบับเอกสารมาได้โดยประการอื่น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93(2) แล้วโดยผู้ร้องไม่จำต้องขออนุญาตศาลก่อน และการที่นายสุทธิ กิติคุณหัวหน้าเขตหรือผู้อำนวยการเขตบางคอแหลมมาเบิกความยืนยันว่าได้รับมอบอำนาจตามสำเนาคำสั่งเอกสารหมาย ร.1 จากผู้ร้องก็เป็นอันเพียงพอให้รับได้โดยไม่จำต้องนำตัวผู้ร้องซึ่งเป็นผู้มอบอำนาจมานำสืบถึงการออกคำสั่งดังกล่าวอีก ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้ร้องมอบอำนาจให้หัวหน้าเขตหรือผู้อำนวยการเขตบางคอแหลมปฏิบัติราชการแทนตามสำเนาคำสั่งเอกสารหมาย ร.1 ผู้อำนวยการเขตบางคอแหลมจึงมีอำนาจปฏิบัติราชการแทนผู้ร้องตามที่ร้องกล่าวอ้างในคดีนี้
มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า ผู้คัดค้านทราบคำสั่งตามสำเนาคำสั่งเอกสารหมาย ร.3, ร.4 และ ร.8 หรือไม่โดยผู้คัดค้านฎีกาว่า ผู้คัดค้านยังมิได้รับทราบคำสั่งดังกล่าวเพราะผู้ร้องมิได้นำสืบให้เห็นว่ามีการรับส่งคำสั่งอย่างใดและมิได้นำเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ผู้นำส่งมาสืบว่าผู้คัดค้านรับทราบคำสั่งอย่างใด เมื่อใด เห็นว่าผู้ร้องมีนายธีระพันธ์ สนิมทอง เจ้าหน้าที่ฝ่ายโยธา เขตบางคอแหลมมาเป็นพยานเบิกความยืนยันว่า พยานเป็นผู้ร่างคำสั่งตามสำเนาคำสั่งเอกสารหมาย ร.3, ร.4 และร.5 ให้นายสุทธิผู้อำนวยการเขตบางคอแหลมลงลายมือชื่อ แล้วพยานจัดให้มีการส่งคำสั่งดังกล่าวทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับไปยังภูมิลำเนาของผู้คัดค้าน ตามสำเนาทะเบียนบ้านเอกสารหมาย ร.10โดยปรากฏข้อความในสำเนาใบตอบรับเอกสารหมาย ร.5, ร.6 และ ร.9 ว่าเป็นการส่งให้แก่บุคคลที่มีชื่อกับที่อยู่ของผู้คัดค้านซึ่งเป็นผู้รับและมีผู้รับแทนเป็นพี่ของผู้คัดค้านกับคนในบ้านของผู้คัดค้าน โดยผู้คัดค้านมิได้นำสืบโต้เถียงความถูกต้องแท้จริงแห่งสำเนาเอกสารดังกล่าว ทั้งคงมีเพียงตัวผู้คัดค้านกล่าวอ้างลอย ๆ ว่ายังไม่ทราบคำสั่งดังกล่าวเท่านั้น ข้อเท็จจริงจึงเพียงพอให้รับฟังได้ว่าผู้คัดค้านทราบคำสั่งตามสำเนาคำสั่งเอกสารหมาย ร.3, ร.4 และ ร.8 แล้ว ตามวิธีการแจ้งคำสั่งที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 47ก่อนมีการแก้ไขเพิ่มเติม โดยไม่จำต้องนำเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ผู้นำส่งมาสืบอีก
เมื่อผู้ร้องได้ออกคำสั่งถูกต้องตามขั้นตอนชอบด้วยกฎหมายและผู้คัดค้านทราบคำสั่งดังกล่าวแล้วเพิกเฉยไม่รื้อถอนอาคารพิพาทภายในเวลาที่กำหนดไว้ในคำสั่งผู้ร้องชอบที่จะยื่นคำขอฝ่ายเดียวโดยทำเป็นคำร้องต่อศาลเป็นคดีนี้ขอให้จับกุมและกักขังผู้คัดค้านซึ่งมิได้ปฏิบัติตามคำสั่งให้รื้อถอนดังกล่าวได้ โดยให้นำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลม ซึ่งผู้ร้องไม่จำต้องทำเป็นคำฟ้องและไม่จำต้องร้องขอออกคำบังคับแก่ผู้คัดค้าน กับไม่ต้องคำนึงว่าผู้ร้องมีอำนาจรื้อถอนอาคารพิพาทอยู่แล้ว หรือผู้คัดค้านขัดขวางการรื้อถอนอาคารพิพาทหรือไม่ เพราะการจับกุมและกักขังบุคคลซึ่งมิได้ปฏิบัติตามคำสั่งให้รื้อถอนอาคารเป็นมาตรการบังคับให้บุคคลนั้นปฏิบัติตามคำสั่งนั่นเอง ทั้งนี้ เป็นไปตามบทบัญญัติมาตรา 43(1) แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522
พิพากษายืน

Share