แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าเช่าที่ค้างชำระจากจำเลยเป็นเงิน 590.40 บาท จำเลยให้การว่าค้างชำระ 57.60 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้างแก่โจทก์เป็นเงิน 246.80 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ชำระเพียง 57.60 บาท ดังนี้เป็นแก้ไขเล็กน้อย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้เช่านาของโจทก์ทำ จำเลยยอมให้ค่าเช่าข้าว ๓๖๙ ถังเป็นเวลา ๑ ปี ครบกำหนดจำเลยไม่ยอมให้ค่าเช่า จึงขอให้ศาลบังคับจำเลยชำระค่าเช่าเป็นข้าวเปลือก ๓๖๙ ถัง หรือเป็นเงิน ๕๙๐ บาท ๕๐ สตางค์
จำเลยให้การว่า ค่าเช่านาคงค้างโจทก์อยู่ ๓๖ ถังเท่านั้น ๑๕๔ ถัง เป็นเงิน ๒๔๖ บาท ๘๐ สตางค์ พิพากษาให้จำเลยใช้เท่าที่ฟังข้อเท็จจริง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยค้างค่าเช่าโจทก์เพียง ๓๖ ถังเป็นเงิน ๕๗ บาท ๖๐ สตางค์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ผลของคำพิพากษาทั้งสองศาลยังคงให้จำเลยใช้ค่าเช่าที่ค้างแก้โจทก์ ผิดกันตรงที่ฟังข้อเท็จจริงต่างกันเรื่องค่าเช่าที่ค้างเท่านั้น เห็นว่าคดีนี้ควรจัดว่าเป็นการแก้น้อย ซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกาข้อเท็จจริง ตาม ป.ม.วิธีพิจารณาความแพ่ง ๒๔๘ ข้อกฎหมายที่โจทก์กล่าวในฎีกาว่า เมื่อโจทก์ได้รับชำระหนี้จากจำเลย ชอบที่จำเลยจะได้รับใบเสร็จหรือได้เวนคืนเอกสารสัญญาเช่านั้น มิใช่เป็นข้อที่ได้ว่ากล่าวกันมา ไม่พึงเป็นเหตุที่จะให้โจทก์ฎีกาได้ มิใช่เป็นข้อที่ได้ว่ากล่าวกันมา ไม่พึงเป็นเหตุที่จะให้โจทก์ฎีกาได้ ให้ยกฎีกาของโจทก์เสีย