คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6049/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ได้ยื่นบัญชีระบุพยานก่อนวันชี้สองสถานไม่น้อยกว่า 7 วันซึ่งมีทั้งพยานบุคคลและพยานเอกสาร รวม 30 อันดับ แต่ก่อนเริ่มสืบพยาน โจทก์ขออนุญาตระบุพยานเพิ่มเติมอีก 2 ครั้ง โดยอ้างว่าโจทก์ไม่สามารถทราบได้ว่าต้องนำพยานหลักฐานดังกล่าวมาสืบเพื่อประโยชน์ของตน คดีนี้มีเอกสารที่โจทก์ต้องอ้างอิงเป็นจำนวนมาก เป็นการยากที่จะทราบและอ้างอิงเอกสารได้ทั้งหมดในคราวเดียวกันเมื่อโจทก์ได้ระบุพยานอ้างเอกสารครั้งแรก รวม 18 อันดับไว้แล้ว การที่โจทก์มาขอระบุบัญชีพยานเพิ่มเติมอีก 2 ครั้ง อ้างพยานเอกสารเพิ่มเติมอีกรวม 8 อันดับ ถือได้ว่ามีเหตุอันสมควรตามข้อกำหนดคดีภาษีอากรข้อ 8 วรรคท้าย แม้ตามคำขอท้ายฟ้องโจทก์จะมิได้ระบุขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ฉบับเลขที่ 317 ง./2531/1 แต่คำวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าวเป็นคำวินิจฉัยเกี่ยวกับการประเมินภาษีการค้าของบริษัท ส. เดือนมกราคม-ธันวาคม 2527 ซึ่งโจทก์ได้บรรยายในคำฟ้องข้อที่ 2 แล้วว่าเจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินให้เสียภาษีการค้า เบี้ยปรับ และเงินเพิ่ม 6 ฉบับ รวมทั้งการประเมินภาษีการค้าระหว่างเดือนมกราคม-ธันวาคม 2527 ไว้ด้วย ต่อมาโจทก์ได้อุทธรณ์การประเมินตามแบบหนังสือแจ้งภาษีการค้าทั้ง 6 ฉบับดังกล่าว และคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้วินิจฉัยอุทธรณ์แล้ว โจทก์ได้แนบสำเนาคำวินิจฉัยอุทธรณ์ทั้ง 6 ฉบับ มาท้ายฟ้องด้วย ส่วนคำขอท้ายฟ้องก็ได้ขอให้ศาลพิพากษายกเลิกเพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 3,4 และ 5 รวม 6 ฉบับก็ย่อมเป็นที่เข้าใจอยู่ในตัวแล้วว่าโจทก์ได้ขอให้ศาลเพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ฉบับดังกล่าวด้วย ดังนี้ศาลภาษีอากรกลางจึงมีอำนาจพิพากษาให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ฉบับดังกล่าวนี้ได้ ไม่เป็นการพิพากษาเกินไปกว่า หรือนอกจากที่ปรากฏในฟ้อง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้พิพากษาเพิกถอนแบบแจ้งภาษีการค้าเบี้ยปรับ และเงินเพิ่ม และเพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์เลขที่317 ก./2531/1, 317 ข./2531/1, 317 ค./2531/1, 317 จ./2531/1และ 317 ฉ./2531/1 รวม 6 ฉบับ ที่ให้โจทก์ชำระภาษีการค้าเงินเพิ่มเบี้ยปรับ และภาษีบำรุงเทศบาลเป็นเงิน 63,181,961.69 บาท และให้งดเว้นเรียกเก็บเบี้ยปรับจากโจทก์
จำเลยทั้งห้าให้การว่าการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยชอบแล้ว
ศาลภาษีอากรกลาง พิพากษาให้เพิกถอนแบบแจ้งการประเมินภาษีการค้า ที่ 10 62/3/00192-00193 ลงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2529ที่ 10 62/3/00224 ลงวันที่ 13 พฤศจิกายน 2530 กับที่10 62/3/00225-00227 ลงวันที่ 4 ธันวาคม 2530 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ที่317 ก. ถึง 317 ฉ./2531/1ลงวันที่ 21 กันยายน 2531
จำเลยทั้งห้าอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากร วินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ข้อแรกของจำเลยทั้งห้าว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่…การที่เจ้าพนักงานประเมินและคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ถือเอาวันที่บริษัทสหพัฒนายานยนต์ จำกัดเป็นวันซื้อขายเสร็จเด็ดขาด แล้วประเมินและวินิจฉัยให้บริษัทสหพัฒนายานยนต์ จำกัด เสียภาษีการค้า เบี้ยปรับ และเงินเพิ่มจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายดังที่ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยมาชอบแล้ว…
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งห้าในข้อต่อไปมีว่า ที่ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ระบุพยานเพิ่มเติมนั้น ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ตามข้อกำหนดคดีภาษีอากรข้อ 8 วรรคท้าย กำหนดว่า ถ้าคู่ความซึ่งได้ยื่นบัญชีระบุพยานไว้แล้วมีเหตุอันสมควรแสดงได้ว่า ตนไม่สามารถทราบได้ว่าต้องนำพยานหลักฐานบางอย่างมาสืบเพื่อประโยชน์ของตน หรือไม่ทราบว่าพยานหลักฐานบางอย่างได้มีอยู่ หรือมีเหตุอันสมควรอื่นใด คู่ความดังกล่าวนั้นอาจยื่นคำร้องต่อศาล ไม่ว่าเวลาใด ๆ ก่อนพิพากษาคดี ขออนุญาตอ้างพยานหลักฐานเช่นว่านั้น และถ้าศาลเห็นว่าเพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเด็นเป็นไปโดยเที่ยงธรรมจำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานเช่นว่านั้น ก็ให้ศาลอนุญาตตามคำร้องข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฏว่า โจทก์ได้ยื่นบัญชีระบุพยานไว้ก่อนวันชี้สองสถานไม่น้อยกว่า 7 วัน ซึ่งมีทั้งพยานบุคคลและพยานเอกสารรวม 30 อันดับ หลังจากชี้สองสถานแล้ว แต่ก่อนเริ่มสืบพยาน โจทก์ได้ขออนุญาตระบุพยานเพิ่มเติม 2 ครั้ง ครั้งแรกขอระบุเพิ่มเติมพยานเอกสาร 1 อันดับ ครั้งที่สองขอระบุเพิ่มเติมพยานเอกสารอีก 7 อันดับโดยทั้งสองครั้งอ้างว่าโจทก์ไม่สามารถทราบได้ว่าต้องนำพยานหลักฐานดังกล่าวมาสืบเพื่อประโยชน์ของตน เห็นว่า คดีนี้มีเอกสารที่โจทก์ต้องอ้างอิงเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นการยากที่จะทราบได้ว่าต้องอ้างอิงเอกสารอะไรได้ทั้งหมดในคราวเดียวกัน แต่โจทก์ได้ระบุพยานอ้างพยานเอกสารในครั้งแรกก่อนวันชี้สองสถานไม่น้อยกว่า 7 วัน ตั้งแต่พยานอันดับ 11 ถึงอันดับ 28 รวม 18 อันดับไว้แล้ว การที่โจทก์มาขอระบุบัญชีพยานเพิ่มเติมอีก 2 ครั้งโดยระบุพยานเอกสารเพิ่มเติมอีกรวม8 อันดับนั้น ถือได้ว่ามีเหตุอื่นอันสมควร เมื่อศาลภาษีอากรกลางเห็นว่า พยานหลักฐานที่โจทก์ระบุเพิ่มเติม เป็นเอกสารสำคัญอันเกี่ยวกับประเด็นในคดีที่ศาลต้องใช้ในการวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญในปัญหาที่โต้เถียงกัน เพื่อให้การพิจารณาพิพากษาคดีเป็นไปโดยเที่ยงธรรมยิ่งขึ้น ศาลภาษีอากรกลางก็มีอำนาจที่จะอนุญาตให้โจทก์ระบุพยานเพิ่มเติมได้ดังที่กำหนดไว้ในข้อกำหนดคดีภาษีอากรข้อ 8วรรคท้ายดังกล่าวแล้ว ฉะนั้น การที่ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ระบุบัญชีพยานเพิ่มเติมทั้งสองครั้งจึงชอบด้วยกฎหมาย…
จำเลยทั้งห้าอุทธรณ์ข้อสุดท้ายว่า การที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ฉบับเลขที่ 317 ง./2531/1 ทั้ง ๆ ที่คำขอท้ายฟ้องของโจทก์มิได้ระบุขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ฉบับดังกล่าว จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอไม่ชอบด้วยกฎหมายเห็นว่าคำวินิจฉัยอุทธรณ์ ฉบับเลขที่ 317 ง./2531/1 เป็นคำวินิจฉัยเกี่ยวกับการประเมินภาษีการค้าของบริษัทสหพัฒนายานยนต์เดือนมกราคม – ธันวาคม 2527 ซึ่งโจทก์ได้บรรยายไว้ในคำฟ้องข้อที่ 2แล้วว่า เจ้าพนักงานประเมินได้ประเมินให้เสียภาษีการค้าเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม รวม 6 ฉบับ และบรรยายรายละเอียดในแต่ละฉบับว่าเป็นการประเมินภาษีการค้าในช่วงระยะเวลาใด เป็นจำนวนเงินเท่าใด รวมทั้งการประเมินภาษีการค้าระหว่างเดือนมกราคม – ธันวาคม 2527 ไว้ด้วยแล้วและโจทก์เห็นว่าการประเมินตามแบบหนังสือแจ้งภาษีการค้าทั้ง 6 ฉบับไม่ชอบ จึงได้อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ทั้ง 6 ฉบับและคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้วินิจฉัยอุทธรณ์แล้วเป็นคำวินิจฉัยอุทธรณ์ 6 ฉบับ คือ ฉบับเลขที่ 317 ก./2531/1,317 ข./2531/1,317 ค./2531/1,317 ง./2531/1,317 จ./2531/1 และ317 ฉ./2531/1 ซึ่งวินิจฉัยให้โจทก์ต้องเสียภาษีการค้าเบี้ยปรับเงินเพิ่ม และภาษีบำรุงเทศบาลรวมเป็นเงิน 63,181,961.69 บาทโดยโจทก์ได้แนบสำเนาคำวินิจฉัยอุทธรณ์ทั้ง 6 ฉบับ มาท้ายฟ้องด้วยและโจทก์ได้บรรยายฟ้องต่อไปว่า โจทก์ไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ที่วินิจฉัยให้โจทก์ต้องเสียภาษีการค้า เบี้ยปรับ เงินเพิ่ม และภาษีบำรุงเทศบาล รวม63,181,961.69 บาทดังกล่าวในคำฟ้องข้อ 2 ส่วนคำขอท้ายฟ้องก็ได้ขอให้ศาลพิพากษายกเลิกเพิกถอนแบบหนังสือแจ้งภาษีการค้า เบี้ยปรับและเงินเพิ่ม กับยกเลิกเพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 3, 4และ 5 รวม 6 ฉบับ ที่ให้โจทก์ชำระเงินเพิ่ม เบี้ยปรับและภาษีบำรุงเทศบาล รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 63,181,961.69 บาท และเสียค่าขึ้นศาลในจำนวนทุนทรัพย์ 63,181,961.69 บาท ก็ย่อมเป็นที่เข้าใจอยู่ในตัวแล้วว่า โจทก์ได้ขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ฉบับเลขที่ 317 ง./2531/1 ด้วย ดังนั้น แม้ว่าตามคำขอท้ายฟ้องโจทก์จะมิได้ระบุขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ฉบับดังกล่าวก็ตามศาลภาษีอากรกลางก็มีอำนาจพิพากษาให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ฉบับดังกล่าวได้ไม่เป็นการพิพากษาให้สิ่งใด ๆ เกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 17 แต่อย่างใด…”
พิพากษายืน.

Share