คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6048/2559

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยขับรถจักรยานยนต์พา ศ. ไปรับเงินค่าเมทแอมเฟตามีนที่ อ. ค้างชำระ ศ. ที่ร้านอาหารที่เกิดเหตุและเดินตาม ศ. เข้าไปในร้าน จำเลยรับว่าเป็นคนขับรถจักรยานยนต์พา ศ. นำเมทแอมเฟตามีน 1,000 เม็ด ไปซุกซ่อนไว้ที่โคนเสาป้ายจราจร จำเลยพาไปยังจุดซ่อนและพบเมทแอมเฟตามีนของกลาง หากจำเลยไม่บอกและไม่พาไปเจ้าพนักงานตำรวจก็ไม่อาจทราบได้ พฤติการณ์ของจำเลยบ่งชี้ว่ารู้เห็นกับการกระทำของ ศ. จำเลยจึงร่วมกับ ศ. มีเมทแอมเฟตามีน 1,000 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
ศ. รับว่า ตกลงขายเมทแอมเฟตามีนแก่ อ. จริง แต่เดินทางมาในวันเกิดเหตุเพื่อรับเงินค่าเมทแอมเฟตามีนที่ อ. ค้างชำระเท่านั้น ไม่ได้นำเมทแอมเฟตามีนมาส่งมอบ โดยซุกซ่อนเมทแอมเฟตามีนไว้ที่โคนเสาป้ายจราจรห่างจากร้านที่เกิดเหตุ 1 กิโลเมตร เมทแอมเฟตามีนจึงยังไม่พร้อมส่งมอบแก่ อ. ในทันทีที่ได้รับเงิน พฤติการณ์ยังไม่ถึงขั้นลงมือกระทำผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ไม่เป็นความผิดฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 101/1, 102 พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 3, 7 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 80, 83, 91 ริบเมทแอมเฟตามีนและโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคหนึ่ง วรรคสามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 7 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุกตลอดชีวิตและปรับ 1,000,000 บาท ฐานร่วมกันพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุกตลอดชีวิตและปรับ 1,000,000 บาท ทางนำสืบจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา เห็นสมควรลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสี่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 37 ปี 6 เดือน และปรับ 750,000 บาท ฐานร่วมกันพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุก 37 ปี 6 เดือนและปรับ 750,000 บาท เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วให้จำคุก 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) และปรับ 1,500,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 กรณีกักขังแทนค่าปรับ ให้กักขังได้ไม่เกินสองปี ริบเมทแอมเฟตามีนที่เหลือจากการตรวจพิสูจน์ ส่วนโทรศัพท์เคลื่อนที่ให้คืนแก่เจ้าของ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง แต่ให้ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า เหตุแห่งการดำเนินคดีแก่จำเลยสืบเนื่องมาจากพันตำรวจตรีถาวรกับพวกจับกุมนายอานนท์ ได้พร้อมเมทแอมเฟตามีน 470 เม็ด นายอานนท์ให้การว่าซื้อมาจากนายศรัทธา หลายครั้งแล้ว โดยติดต่อกันทางโทรศัพท์เคลื่อนที่ อันนำไปสู่การวางแผนจับกุมนายศรัทธาได้พร้อมเมทแอมเฟตามีน 140 เม็ด ส่วนจำเลยไปกับนายศรัทธา จึงถูกควบคุมตัวไปด้วย ในข้อนี้ได้ความจากพันตำรวจตรีถาวรและดาบตำรวจประสิทธิ์ว่าจำเลยเป็นคนขับรถจักรยานยนต์พานายศรัทธาไปยังร้านที่เกิดเหตุ และเดินตามนายศรัทธาเข้าไปในร้าน ย่อมมีเหตุที่จะสงสัยจำเลย จากการตรวจค้นไม่พบสิ่งผิดกฎหมายในตัวจำเลย แต่พบอาวุธปืน 1 กระบอก กระสุนปืน 4 นัด ซุกซ่อนอยู่ใต้เบาะรถจักรยานยนต์ที่จำเลยขับมา เมื่อสอบถามนายศรัทธาถึงเมทแอมเฟตามีนดังกล่าว นายศรัทธารับว่าเป็นของตน แต่ไม่ได้นำมาส่งมอบให้นายอานนท์ เหตุที่มาเพื่อรับเงิน 150,000 บาท จากนายอานนท์ที่ค้างชำระค่าเมทแอมเฟตามีนอยู่ก่อน พันตำรวจตรีถาวรจึงสอบถามจำเลยได้ความว่า จำเลยขับรถจักรยานยนต์พานายศรัทธานำเมทแอมเฟตามีนไปซุกซ่อนไว้ที่โคนเสาป้ายบอกเขตควบคุมวินัยจราจร อยู่ริมถนนห่างจากเทศบาลตำบลอ่าวลึกประมาณ 1 กิโลเมตร จึงให้จำเลยพาไปยังที่ซุกซ่อนและพบเมทแอมเฟตามีนของกลาง แม้คำให้การในชั้นสอบสวนของพันตำรวจตรีถาวรและดาบตำรวจประสิทธิ์ แตกต่างกับคำเบิกความในส่วนที่เกี่ยวกับที่นั่งของพันตำรวจตรีถาวรและดาบตำรวจประสิทธิ์ว่าพันตำรวจตรีถาวรหรือดาบตำรวจประสิทธิ์ที่นั่งโต๊ะเดียวกับนายอานนท์และใครเป็นคนให้นายอานนท์โทรศัพท์ติดต่อกับนายศรัทธา รวมทั้งนายศรัทธาและจำเลยหรือจำเลยคนเดียวเป็นคนพาไปยังที่ซุกซ่อนเมทแอมเฟตามีน ข้อแตกต่างดังกล่าวกับไม่ถึงกับทำให้ข้อเท็จจริงในส่วนสาระสำคัญขาดน้ำหนักในการรับฟัง เพราะจำเลยและนายศรัทธารับว่าถูกจับกุมในร้านที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นไปตามแผนการของพันตำรวจตรีถาวรกับพวก โดยแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาทราบก่อนแล้ว หากนายศรัทธาและจำเลยหรือจำเลยไม่บอกและไม่พาไปยังที่ซุกซ่อนเมทแอมเฟตามีน พันตำรวจตรีถาวรกับพวกก็ไม่อาจทราบได้ การที่พนักงานสอบสวนไม่นำจำเลยไปชี้ที่ซุกซ่อนเมทแอมเฟตามีนและถ่ายรูปไว้ คงเป็นเพราะจำเลยให้การปฏิเสธ พยานโจทก์ต่างไม่เคยรู้จักจำเลยมาก่อน ไม่มีเหตุระแวงว่าจำเลยจะถูกกลั่นแกล้ง ส่วนที่นายศรัทธาให้การในชั้นสอบสวน และเบิกความได้ความว่าก่อนเกิดเหตุตนนำเมทแอมเฟตามีนไปซุกซ่อนไว้แล้วจึงเดินทางไปรอการติดต่อจากนายอานนท์ที่บ้านมารดาของตน แสดงว่านายศรัทธามีพาหนะของตนเอง จึงไม่มีความจำเป็นต้องชวนจำเลยไปดื่มสุราที่ร้านที่เกิดเหตุ โดยให้จำเลยขับรถจักรยานยนต์ไปรับ อันจะทำให้จำเลยทราบว่าตนทำสิ่งผิดกฎหมายและเสี่ยงต่อการที่จำเลยซึ่งเป็นน้องชายจะต้องถูกจับกุมด้วย และเมื่อไปถึงร้านที่เกิดเหตุแล้วเหตุใดจึงต้องนั่งคนละโต๊ะ ข้ออ้างของจำเลยจึงขัดต่อเหตุผล เชื่อว่าจำเลยเป็นคนขับรถจักรยานยนต์พานายศรัทธานำเมทแอมเฟตามีน ไปซุกซ่อนไว้ พฤติการณ์ของจำเลยบ่งชี้ว่ารู้เห็นกับการกระทำดังกล่าวของนายศรัทธา สำหรับเมทแอมเฟตามีน 140 เม็ด ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงของนายศรัทธา ได้ความจากนายศรัทธาว่าไม่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายเมทแอมเฟตามีนของตนกับนายอานนท์ ซึ่งเมทแอมเฟตามีนส่วนนี้จำเลยอาจไม่รู้เห็นด้วย พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักรับฟังได้ว่า จำเลยร่วมกับนายศรัทธามีเมทแอมเฟตามีน 1,000 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ส่วนจะเป็นความผิดฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนหรือไม่นั้น ในข้อนี้ได้ความจากพันตำรวจตรีถาวรผู้จับกุมว่า จากการสอบถามนายศรัทธารับว่าตกลงขายเมทแอมเฟตามีนให้แก่นายอานนท์จริง แต่ที่เดินทางมาในวันเกิดเหตุนั้น มาเพื่อรับเงินค่าเมทแอมเฟตามีนที่ค้างชำระ 150,000 บาท เท่านั้น ไม่ได้นำเมทแอมเฟตามีน 1,000 เม็ด มาส่งมอบให้โดยซุกซ่อนเมทแอมเฟตามีนอยู่ที่โคนเสาป้ายเขตควบคุมวินัยการจราจรซึ่งอยู่ห่างจากร้านที่เกิดเหตุประมาณ 1 กิโลเมตร ดังนั้น เมทแอมเฟตามีนจำนวนดังกล่าวจึงยังไม่พร้อมส่งมอบให้แก่นายอานนท์ในทันทีที่ได้รับเงิน ตามพฤติการณ์ยังไม่ถึงขั้นลงมือกระทำความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน อันจะเป็นความผิดฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายด้วยนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ส่วนความผิดฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำคุกตลอดชีวิตและปรับ 1,000,000 บาท ข้อนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก37 ปี 6 เดือน และปรับ 750,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 (ที่แก้ไขใหม่) กรณีกักขังแทนค่าปรับให้กักขังได้เกิน 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share