แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้คัดค้านได้อ้างสรรพเอกสารในสำนวนทวงหนี้ลูกหนี้รายผู้ร้องเป็นพยาน โดยระบุไว้ในบัญชีพยานแล้ว แม้จะขออ้างส่งเฉพาะเอกสารบางฉบับในสำนวนก็ไม่จำต้องยื่นบัญชีพยานหรือขอระบุพยานเพิ่มเติมต่างหากอีก ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นที่มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้คัดค้านเรียกหนี้ค่าหุ้นที่ค้างชำระจากผู้ร้อง ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ถือว่าคดีถึงที่สุดนับแต่ระยะเวลาที่อาจฎีกาได้สิ้นสุดลง ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีเมื่อยังไม่เกิน 10 ปี นับแต่คดีถึงที่สุดจึงชอบแล้ว
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสี่เด็ดขาดเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2518 และพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ล้มละลายเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2519 ต่อมาวันที่26 พฤศจิกายน 2535 ศาลชั้นต้นได้ออกหมายบังคับคดีให้ยึดทรัพย์ผู้ร้องในมูลหนี้ค่าหุ้นที่ค้างชำระจำนวน 375,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 21 กรกฎาคม 2519เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จตามคำขอของผู้คัดค้าน
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เมื่อประมาณปี 2519 ผู้คัดค้านได้มีหนังสือแจ้งให้ผู้ร้องชำระหนี้ค่าหุ้นจำนวน 375,000 บาทผู้ร้องได้ปฎิเสธต่อผู้คัดค้านว่า ไม่เคยซื้อหุ้นของจำเลยที่ 1การมีชื่อในบัญชีผู้ถือหุ้นเป็นการแอบอ้างของกรรมการบริษัทจำเลยที่ 1 โดยพลการ ผู้คัดค้านเห็นว่าผู้ร้องมิได้ค้างชำระค่าหุ้นแต่ประการใด จึงมีคำสั่งให้จำหน่ายชื่อผู้ร้องออกจากบัญชีลูกหนี้ โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งผู้คัดค้านต่อศาลชั้นต้นศาลชั้นต้นสั่งให้ไต่สวน ชั้นไต่สวนผู้ร้องให้การปฎิเสธหนี้ไว้หลังจากนั้นก็มิได้ติดตามหรือทราบคำสั่งศาลอีก และไม่เคยได้รับคำบังคับแต่อย่างใด จนกระทั่งเมื่อปลายเดือนกันยายน 2535ผู้ร้องได้รับคำบังคับฉบับลงวันที่ 27 สิงหาคม 2535 จึงทราบว่าเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2522 ศาลได้มีคำสั่งให้ผู้ร้องชำระหนี้ค่าหุ้น การที่ผู้คัดค้านได้ดำเนินการขอออกคำบังคับและหมายบังคับคดี และศาลได้ออกหมายบังคับคดีให้เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2535 จึงเป็นการล่วงเลยระยะเวลา 10 ปี เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้มีคำสั่งยกหมายบังคับคดีดังกล่าว
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า หลังจากผู้คัดค้านมีคำสั่งให้จำหน่ายชื่อผู้ร้องออกจากบัญชีลูกหนี้ โจทก์ได้ยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งผู้คัดค้านต่อศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2522 ให้ผู้คัดค้านเรียกผู้ร้องชำระค่าหุ้นที่ค้างชำระผู้ร้องจึงอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้น ต่อมาวันที่ 14 พฤศจิกายน 2527 ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษายืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้น ผู้คัดค้านรับคำบังคับมาส่งให้แก่ผู้ร้องและส่งได้โดยวิธีปิดคำบังคับเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2534 ต่อมาผู้คัดค้านทราบว่าผู้ร้องได้ย้ายภูมิลำเนาไปแล้วจึงได้ขอให้ศาลออกคำบังคับใหม่และได้ส่งคำบังคับแก่ผู้ร้องโดยวิธีปิดคำบังคับเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2535 ครั้นครบกำหนดตามคำบังคับแล้วผู้ร้องมิได้ปฎิบัติตามคำบังคับ ผู้คัดค้านจึงได้ขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีและศาลได้ออกหมายบังคับเมื่อวันที่ 26พฤศจิกายน 2535 เมื่อนับระยะเวลาตั้งแต่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ผู้ร้องชำระหนี้ต่อผู้คัดค้านเมื่อวันที่ 14พฤศจิกายน 2527 ถึงวันศาลออกหมายบังคับคดีเมื่อวันที่ 26พฤศจิกายน 2535 จึงเป็นการขอให้บังคับคดีภายใน 10 ปี นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 271 แล้ว ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อที่ผู้ร้องฎีกาว่าผู้คัดค้านอ้างสรรพเอกสารในสำนวนทวงหนี้ลูกหนี้รายผู้ร้องเป็นพยานหลักฐาน ผู้คัดค้านจำต้องส่งสำนวนดังกล่าวต่อศาลทั้งสำนวน หาใช่แยกส่งเอกสารแต่ละฉบับตามที่ผู้คัดค้านส่งต่อศาลหากผู้คัดค้านประสงค์จะอ้างเอกสารแต่ละฉบับก็ควรยื่นคำร้องขอระบุพยานเพิ่มเติมให้ชัดเจน ดังนั้น การอ้างและส่งเอกสารจึงเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย ไม่ควรรับฟังนั้นในข้อนี้ปรากฎว่า ผู้ร้องได้โต้แย้งไว้แล้วตามคำร้องของผู้ร้องลงวันที่ 2กรกฎาคม 2536 โดยโต้แย้งว่า ผู้คัดค้านอ้างส่งเอกสารหมายค.1 ถึง ค.11 แต่มิได้ระบุไว้ในบัญชีพยานหรือยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นบัญชีพยานเพิ่มเติมแต่อย่างใด เป็นการไม่ชอบแม้ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยในฎีกาข้อนี้ โดยอ้างว่าผู้ร้องไม่ได้โต้แย้งไว้ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปเสียทีเดียวโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย เห็นว่าผู้คัดค้านได้อ้างสรรพเอกสารในสำนวนทวงหนี้ลูกหนี้รายผู้ร้องเป็นพยานโดยระบุไว้ในบัญชีพยานของผู้คัดค้านแล้ว เอกสารหมาย ค.1 ถึง ค.11เป็นเอกสารส่วนหนึ่งซึ่งอยู่ในสำนวนทวงหนี้ลูกหนี้รายผู้ร้องแม้ผู้คัดค้านจะขออ้างส่งเฉพาะเอกสารหมาย ค.1 ถึง ค.11 ก็ไม่จำต้องยื่นบัญชีพยานหรือขอระบุพยานเพิ่มเติมต่างหากอีกฎีกาข้อนี้ของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
ข้อที่ผู้ร้องฎีกาว่า ศาลชั้นต้นได้ออกหมายบังคับคดีภายหลังระยะเวลา 10 ปี นับแต่คดีถึงที่สุดแล้วนั้น เห็นว่าเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านเรียกหนี้ค่าหุ้นที่ค้างชำระจากผู้ร้อง ผู้ร้องได้อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้น ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา จึงถือว่าคดีถึงที่สุดนับแต่ระยะเวลาที่อาจฎีกาได้สิ้นสุดลงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 147วรรคสอง มิใช่ถึงที่สุดนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังที่ผู้ร้องฎีกามา คดีนี้ปรากฎว่าได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2527 ผู้คัดค้านขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2535 และศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2535 จึงยังไม่เกิน10 ปี นับแต่คดีถึงที่สุด ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมานั้นชอบแล้ว ฎีกาข้อนี้ของผู้ร้องฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน