แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เรือนจำจ่ายนักโทษให้จำเลยทั้งสองควบคุมร่วมกันและตามข้อบังคับของเรือนจำก็ห้ามมิให้แยกกัน การที่นักโทษแยกกันพักอยู่ใต้ต้นไม้กับจำเลยคนละแห่งใกล้ ๆ กัน มองแลเห็นกันได้นั้น ถ้านักโทษที่พักอยู่กับจำเลยคนหนึ่งหลบหนีไปโดยความประมาทเลินเล่อของจำเลยผู้นั้นถือว่า เป็นความประมาทเลินเล่อของจำเลยอีกคนหนึ่งด้วย อันเป็นผิดตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 169
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานทำให้นักโทษหลบหนีจากการควบคุมโดยความประมาทตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา ๑๖๔
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า ในระหว่างหยุดพักกลางวันนักโทษแยกกันหยุดพักใต้ร่มไม้เป็นสองพวก ซึ่งมีนายบุญมากจำเลยควบคุมอยู่พวกหนึ่ง และนายเกิดควบคุมอยู่อีกพวกหนึ่งใกล้ ๆกันมองเห็นกันได้ถนัด นักโทษชายสมซึ่งอยู่ไต้ร่วมไม้ตนเดียกวันกับนายบุญมากจำเลยได้หลบหนีไป จึงเป็นความประมาทเลินเล่อของนายบุญมากจำเลย หาเป็นความประมาทของนายเกิดจำเลยด้วยไม่ จึงพิพากษาลงโทษนายบุญมากจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา ๑๖๔ ให้จำคุก ๖ เดือน ส่วนนายเกิดยกฟ้องปล่อยตัวไป
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ลงโทษนายเกิดจำเลยด้วย
ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์โดยอ้างว่า เรือนจำจ่ายนักโทษจำนวนนี้ให้แก่นายเกิดและนายบุญมากจำเลยควบคุมร่วมกัน ตามข้อบังคับของเรือนจำก็ห้ามมิให้แยกกันตามคำพะยานได้ความว่า นักโทษพักอยู่ใกล้ ๆ กันห่างกันเพียง ๑๑ วาในบริเวณสนามบินซึ่งเป็นที่เตียนมองแลเห็นกันถนัด ถ้าจำเลยใช้ความระมัดระวังก็น่าจะเห็น จะเรียกว่าแยกกันควยคุมไม่ได้ เมื่อเลิกหยุดพักแล้วพวกนักโทษยังพูดขึ้นว่า นักโทษชายสมไปไหน จำเลยทั้งสองก็ไม่ว่ากระไรทำงานต่อไปจนเวลา ๑๕ นาฬิกาจึงพานักโทษกลับเรือนจำและนักโทษชายสมก็ยังไม่กลับดังนี้ การกระทำของจำเลยทั้งสองแสดงว่ามิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ ซึ่งเป็นเหตุให้นักโทษชานสมหลบหนีไปได้ จำเลยมีความผิดตามโจทก์ฟ้อง