แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 188 นายกเทศมนตรีเทศบาลนครหลวงขณะนั้นเป็นเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ตามคำสั่งของหัวหน้าคณะปฏิวัติ หัวหน้าแผนกพิจารณาอุทธรณ์และคำร้องกองกฎหมายและคดี หัวหน้าแผนกสำรวจ กองรังวัดและที่ดิน ฝ่ายการโยธาเทศบาลนครหลวงหรือของกรุงเทพมหานครจำเลยที่ 1 ในปัจจุบันเป็นกรรมการเวนคืนที่ดินพิพาทเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 1 และมีประกาศของจำเลยที่ 1 ให้เจ้าของที่ดินยื่นคำขอรับเงินค่าทดแทนจากคณะกรรมการเวนคืน นอกจากนี้ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 188ข้อ 3 พระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2497มาตรา 8,10 ให้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ต้องเวนคืนนั้นตกมาเป็นของเจ้าหน้าที่ แต่เจ้าหน้าที่จะมีสิทธิเข้าครอบครองทรัพย์สินได้ต่อเมื่อใช้เงินหรือวางเงินค่าทดแทนแล้ว แสดงความมุ่งหมายของประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 188 ว่า การเวนคืนที่ดินพิพาทก็เพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 1 ปรากฏว่าเมื่อ พ.ศ. 2526 จำเลยที่ 1ได้เข้าครอบครองทำถนนโดยไม่ได้จ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่ ส.เจ้าของที่ดินพิพาทขณะนั้น ตามประกาศของคณะปฏิวัติแต่อย่างใดเมื่อ ส. ทวงถาม จำเลยที่ 1 กลับมีหนังสือตอบผัดผ่อนเรื่อยมาโดยไม่ได้โต้แย้งให้ทวงถามค่าทดแทนจากบุคคลอื่น โจทก์ซึ่งเป็นทายาทรับมรดกจาก ส. จึงมีอำนาจฟ้องเรียกค่าทดแทนจากจำเลยที่ 1ได้จำเลยที่ 1 ไม่อาจยกเหตุที่ไม่ได้งบประมาณจากรัฐบาลเป็นข้อแก้ตัวได้ เมื่อโจทก์มีสิทธิเรียกค่าทดแทนจากจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการเวนคืนที่ดินพิพาท แม้จะฟังว่าคณะรัฐมนตรีมีมติให้โอนสิทธิในที่ดินพิพาทไปให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ภายหลังก็หาทำให้โจทก์สิ้นสิทธิเรียกค่าทดแทนซึ่งมีอยู่เดิมแล้วแต่อย่างใดไม่ทั้งมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวก็ไม่ใช่กฎหมายที่จะลบบ้างประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 188 ซึ่งมีผลเป็นกฎหมายอีกด้วย ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530มาตรา 36 วรรคสอง การเวนคืนและการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ที่ได้ปฏิบัติไปแล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้เป็นอันใช้ได้ แต่การดำเนินการต่อไปให้ดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ เมื่อกรรมการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ยังมิได้กำหนดค่าทดแทนภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันที่ได้รับแต่งตั้งตามมาตรา 23 วรรคสอง เป็นการมิชอบและกรณีไม่ใช่เรื่องการชำระค่าทดแทนเพิ่มขึ้นตามมาตรา 26 วรรคสามหรือการจ่ายค่าทดแทนล่าช้าตามมาตรา 28 และมาตรา 33 การคำนวณดอกเบี้ยในค่าทดแทนตามมาตราดังกล่าวจึงไม่อาจนำมาปรับในค่าทดแทนในกรณีนี้ได้ และเมื่อไม่มีบทบัญญัติกฎหมายโดยเฉพาะ โจทก์ก็ชอบที่จะได้ดอกเบี้ยในค่าทดแทนที่ยังมิได้รับชำระในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 และเมื่อศาลชั้นต้นกำหนดให้เรียกดอกเบี้ยได้มีกำหนด 10 ปี นับแต่วันฟ้องย้อนขึ้นไป จำเลยที่ 1 มิได้อุทธรณ์เฉพาะในส่วนนี้ ศาลฎีกาจึงไม่มีเหตุจะแก้ไข
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสี่เป็นทายาทโดยธรรมและเป็นผู้จัดการมรดกของหม่อมเสมอ สวัสดิวัตน์ จำเลยที่ 1 เป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่นมีฐานะเป็นนิติบุคคล โดยมีจำเลยที่ 2เป็นผู้ว่าราชการของจำเลยที่ 1 และเป็นเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 188 ลงวันที่22 กรกฎาคม 2515 ที่ดินโฉนดเลขที่ 1836 ตำบลรองเมือง (ปทุมวัน)อำเภอปทุมวัน (สามเพ็ง) กรุงเทพมหานคร เป็นกรรมสิทธิ์ของหม่อมเสมอ สวัสดิวัตน์ ซึ่งได้รับมรดกมาจากคุณหญิงเนื่องบุรีนวราษฎร์ มารดา และได้ถูกเวนคืนโดยประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าวบางส่วน เนื้อที่ 240 ตารางวา เฉพาะส่วนที่ถูกเวนคืนและแบ่งแยกออกไปแล้ว ตามโฉนดเลขที่ 7303 และประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ว่านี้ ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม2515 มีผลใช้บังคับถัดจากวันประกาศเป็นต้นไป ทั้งให้มีผลใช้บังคับเช่นเดียวกับพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งออกตามความในมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์พ.ศ. 2497 กรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ต้องเวนคืนให้ตกเป็นของเจ้าหน้าที่เวนคืน และจำเลยที่ 1 ได้เข้าครอบครองทำถนนเป็นทางสาธารณะแล้วโดยไม่ได้ทำความตกลงในเรื่องเงินค่าทดแทนกับผู้มีสิทธิแต่ประการใดต่อมาหัวหน้าคณะปฏิวัติได้มีคำสั่ง 76/2515 ตั้งกรรมการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ขึ้นชุดหนึ่ง แต่ก็มิได้ทำความตกลงใด ๆ กับผู้มีสิทธิในเรื่องค่าทดแทนที่ดิน หม่อมเสมอได้เรียกร้องค่าทดแทนหลายครั้ง จำเลยทั้งสองโดยผู้อำนวยการสำนักงานโยธา จึงได้มีหนังสือแจ้งว่าจำเลยที่ 1 ได้ขอเงินอุดหนุนจากรัฐบาลไปแล้วแต่ยังไม่ได้รับ หากได้รับก็จะทำความตกลงกับผู้มีส่วนได้เสียต่อไปหม่อมเสมอได้ถึงแก่กรรมไปเสียก่อน เงินค่าทดแทนจึงตกเป็นมรดกแก่โจทก์ทั้งสี่ และที่ดินดังกล่าวอยู่ในที่ชุมนุมมีถนนซอยติดต่อกับถนนพระรามสี่ และถนนรองเมือง 2 สาย ใน พ.ศ. 2510จำเลยเคยให้ค่าทดแทนที่ดินของคุณหญิงเจือซึ่งอยู่ติดกับที่ดินของหม่อมเสมอ ราคาตารางวาละ 2,500 บาท ใน พ.ศ. 2515 ซึ่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 188 ใช้บังคับ ราคาซื้อขายตามธรรมดาสูงขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ เป็นตารางวาละ 5,000 บาท และตั้งแต่วันที่1 มกราคม 2528 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2530 สำนักงานกลางประเมินราคาทรัพย์สินประเมินไว้ตารางวาละ 15,000 บาท แต่โจทก์ทั้งสี่ขอคิดค่าทดแทนตารางวาละ 5,000 บาท เนื้อที่ 240 ตารางวา เป็นเงิน1,200,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคม 2515 ถึงวันฟ้องเป็นเวลา 14 ปี เป็นเงินดอกเบี้ย 1,260,000 บาท โจทก์ทั้งสี่บอกกล่าวแล้ว แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงินค่าทดแทนจำนวน 2,460,000บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน1,200,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน 1,200,000 บาท ตั้งแต่วันถัดจากวันฟ้องจนถึงวันชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 188 ข้อ 3 และพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2497 มาตรา 10 บัญญัติว่าเจ้าหน้าที่จะมีสิทธิเข้าครอบครองทรัพย์สินได้ต่อเมื่อได้ใช้เงินหรือวางเงินค่าทดแทนแล้ว แต่คดีนี้จำเลยทั้งสองยังมิได้เข้าครอบครองที่ดินของโจทก์ เนื่องจากยังมิได้รับเงินงบประมาณจากรัฐบาล สิทธิครอบครองทรัพย์สินยังเป็นของโจทก์ทั้งสี่อยู่ โจทก์ไม่ถูกโต้แย้งสิทธิและจำเลยที่ 1 มิได้เป็นผู้เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์เป็นแต่เพียงหน่วยงานดำเนินการตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 188เท่านั้น จึงไม่ต้องรับผิด จำเลยที่ 2 มิได้กระทำการในฐานะส่วนตัวทั้งเพิ่งมารับตำแหน่งผู้ว่าราชการของจำเลยที่ 1 ใน พ.ศ. 2529มิได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้งสี่ ต่อมาคณะรัฐมนตรีได้ลงมติเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2529 ให้โอนอสังหาริมทรัพย์ของกระทรวงมหาดไทยซึ่งได้มาตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 188 ให้แก่การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ฉะนั้น หน้าที่ในการดำเนินการจึงมิได้ตกอยู่แก่จำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองไม่จำต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสี่และค่าทดแทนตารางวาละ 5,000 บาท นั้นสูงเกินไป เพราะราคาปานกลางของที่ดิน เพื่อประโยชน์แก่การเสียภาษีบำรุงท้องที่ใน พ.ศ. 2515มีราคาตารางวาละไม่เกิน 2,500 บาท และดอกเบี้ยที่โจทก์ทั้งสี่คิดก็ไม่ถูกต้อง เพราะเรื่องนี้เจ้าหน้าที่ยังมิได้กำหนดค่าทดแทนตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2497มาตรา 30 โจทก์ทั้งสี่จึงไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินค่าทดแทนที่ดินแก่โจทก์ทั้งสี่จำนวน 1,200,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยของต้นเงินดังกล่าวจำนวนในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีโดยให้นับแต่วันฟ้องย้อนขึ้นไปมีกำหนด 10 ปี ให้โจทก์ทั้งสี่ดำเนินการจดทะเบียนโอนที่ดินที่ถูกเวนคืนประมาณ 240 ตารางวาให้แก่จำเลยที่ 1 และให้จำเลยที่ 1 ชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 1,200,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์ ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นข้อที่ให้โจทก์ทั้งสี่ดำเนินการจดทะเบียนโอนที่ดินที่ถูกเวนคืนประมาณ 240 ตารางวา ให้แก่จำเลยที่ 1 เสีย และค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ในศาลชั้นต้นให้เป็นพับแก่กันทั้งสองฝ่ายนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาตามฎีกาจำเลยที่ 1 ข้อแรกว่าเมื่อประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 188 ข้อ 1 ระบุใจความว่าให้เวนคืนที่ดินพิพาทตำบลรองเมือง อำเภอปทุมวัน กรุงเทพมหานครให้แก่กระทรวงมหาดไทย และข้อ 2 ระบุให้จำเลยที่ 2 เป็นเพียงหน่วยงานหรือเจ้าหน้าที่ดำเนินการเวนคืนที่ดินพิพาท โจทก์จะมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 หรือไม่ ในข้อนี้ได้ความจากนายขรรค์ชัย นพแก้ว ซึ่งเมื่อ พ.ศ. 2508 ถึง พ.ศ. 2517ดำรงตำแหน่งหัวหน้าแผนกสำรวจ กองรังวัดและที่ดินของจำเลยที่ 1และเป็นพยานจำเลยที่ 1 ว่า เมื่อ พ.ศ. 2510 ได้เกิดเพลิงไหม้ที่ตรอกสลักหิน กองผังเมือง หน่วยงานของจำเลยที่ 1 จึงได้ทำการสำรวจพื้นที่และเสนอออกกฎหมายเพื่อเวนคืนที่ดินบริเวณดังกล่าวเพื่อประโยชน์แก่กรุงเทพมหานครโดยใช้สร้างถนนและบริเวณที่จอดรถต่อมาจึงได้มีประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 188 ดังกล่าว เห็นว่านอกจากประกาศของคณะปฏิวัติ ข้อ 2 ระบุว่า นายกเทศมนตรีเทศบาลนครหลวงขณะนั้นเป็นเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์แล้วตามคำสั่งของหัวหน้าคณะปฏิวัติ หัวหน้าแผนกพิจารณาอุทธรณ์และคำร้อง กองกฎหมายและคดี หัวหน้าแผนกสำรวจ กองรังวัดและที่ดิน ฝ่ายการโยธาของเทศบาลนครหลวง หรือของจำเลยที่ 1 ในปัจจุบันยังเป็นกรรมการเวนคืนที่ดินพิพาทเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 1 และยังมีประกาศของจำเลยที่ 1 ให้เจ้าของที่ดินยื่นคำขอรับเงินค่าทดแทนจากคณะกรรมการเวนคืนอีกด้วย นอกจากนั้นประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 188 ข้อ 3ก็ให้ถือว่าประกาศของคณะปฏิวัติมีผลใช้บังคับเช่นเดียวกับพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ซึ่งออกตามความในมาตรา 8แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2497 และพระราชบัญญัติดังกล่าว มาตรา 10 บัญญัติว่า นับตั้งแต่วันใช้บังคับพระราชบัญญัติในมาตรา 8 กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ต้องเวนคืนนั้นตกมาเป็นของเจ้าหน้าที่ แต่เจ้าหน้าที่จะมีสิทธิเข้าครอบครองทรัพย์สินได้ต่อเมื่อใช้เงินหรือวางเงินค่าทดแทนแล้ว แสดงความมุ่งหมายของประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 188 ว่า การเวนคืนที่ดินพิพาทก็เพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นหน่วยงานในกระทรวงมหาดไทย เมื่อปรากฏจากคำพยานโจทก์ จำเลย และรายงานการเดินเผชิญสืบของศาลชั้นต้นตามรายงานกระบวนพิจารณา ลงวันที่4 กรกฎาคม 2530 ว่า เมื่อ พ.ศ. 2526 จำเลยที่ 1 ได้เข้าไปครอบครองทำถนนคอนกรีตบางตอนราดยางกว้าง 9.80 เมตร ยาว 72.20 เมตร โดยไม่ได้จ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่หม่อมเสมอ สวัสดิวัฒน์ เจ้าของที่ดินพิพาทขณะนั้นตามประกาศของคณะปฏิวัติแต่อย่างใด และเมื่อหม่อมเสมอได้ทวงถามตามหนังสือเอกสารหมาย จ.10, จ.11, จ.13 กลับมีหนังสือตอบตามเอกสารหมาย จ.2, จ.9 ผัดผ่อนเรื่อยมา โดยไม่ได้โต้แย้งให้ทวงถามค่าทดแทนจากบุคคลอื่นแต่อย่างใด โจทก์ซึ่งเป็นทายาทรับมรดกจากหม่อมเสมอจึงมีอำนาจฟ้องเรียกค่าทดแทนจากจำเลยที่ 1 ได้จำเลยที่ 1ไม่อาจยกเหตุที่ไม่ได้งบประมาณจากรัฐบาลเป็นข้อแก้ตัวได้
ข้อที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่22 เมษายน 2529 ให้โอนอสังหาริมทรัพย์รวมทั้งที่ดินพิพาทไปให้การทางพิเศษแล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 นั้น เห็นว่าเมื่อโจทก์มีสิทธิเรียกค่าทดแทนจากจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการเวนคืนที่ดินพิพาท แม้จะฟังว่าคณะรัฐมนตรีมีมติให้โอนสิทธิในที่ดินพิพาทไปให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทยภายหลัง ก็หาทำให้โจทก์สิ้นสิทธิเรียกค่าทดแทนซึ่งมีอยู่เดิมแล้วแต่อย่างใดไม่ทั้งมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวก็ไม่ใช่กฎหมายที่จะลบล้างประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 188 ซึ่งมีผลเป็นกฎหมายอีกด้วย
ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาในเรื่องดอกเบี้ยว่า กฎหมายกำหนดดอกเบี้ยค่าทดแทนไว้โดยเฉพาะแล้วตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2497 มาตรา 30 และพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ.2530 มาตรา 26, 33 จะคำนวณดอกเบี้ยในเงินค่าทดแทนอย่างมูลละเมิดไม่ได้นั้น เมื่อคดีฟังได้ว่าคณะกรรมการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 188ยังมิได้จ่ายเงินค่าทดแทนในการเวนคืนที่ดินพิพาทให้หม่อมเสมอหรือทายาท และหม่อมเสมอหรือทายาทมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 เพื่อเรียกค่าทดแทนแล้ว กรณีต้องด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 มาตรา 36 วรรคสอง ซึ่งบัญญัติว่า”การเวนคืนและการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ที่ได้ปฏิบัติไปแล้วก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับให้เป็นอันใช้ได้ แต่การดำเนินการต่อไปให้ดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้…” ซึ่งเมื่อกรรมการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ยังมิได้กำหนดค่าทดแทนภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันได้รับแต่งตั้งตามมาตรา 23 วรรคสอง เป็นการมิชอบ และกรณีไม่ใช่เรื่องการชำระค่าทดแทนเพิ่มขึ้น ตามมาตรา 26 วรรคสาม หรือการจ่ายค่าทดแทนล่าช้า ตามมาตรา 28 และมาตรา 33 การคำนวณดอกเบี้ยในค่าทดแทนตามมาตราดังกล่าวจึงไม่อาจนำมาปรับในค่าทดแทนกรณีนี้ได้และเมื่อไม่มีบทบัญญัติกฎหมายโดยเฉพาะ โจทก์ก็ชอบที่จะได้ดอกเบี้ยในค่าทดแทนที่ยังมิได้รับชำระในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 และเมื่อศาลชั้นต้นกำหนดให้เรียกดอกเบี้ยได้มีกำหนด 10 ปี นับแต่วันฟ้องย้อนขึ้นไปจำเลยที่ 1 มิได้อุทธรณ์เฉพาะในส่วนนี้ ศาลฎีกาจึงไม่มีเหตุจะแก้ไข ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไว้ชอบแล้ว
พิพากษายืน