แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ค. และ บ. ผู้เสียหายทั้งสองพากันเดินจะไปเที่ยวที่งานวัด ค. เห็นจำเลยกำลังตบตีภริยาที่ถนนจึงได้พูดจาว่ากล่าวจำเลย จำเลยไม่พอใจพูดท้าให้ ค. ยิงสู้กับจำเลย แล้วจำเลยได้ชักอาวุธปืนลูกซองยิงผู้เสียหายทั้งสองในระยะเพียง 1-2 วากระสุนปืนถูกผู้เสียหายทั้งสองหลายแห่ง ค. มีบาดแผลถึง 10 แห่งแพทย์ผู้รักษาเห็นว่าหากไปรักษาบาดแผลช้ากว่า 6 ชั่วโมงจะต้องถึงแก่ความตาย เช่นนี้ แสดงว่าจำเลยย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำว่ากระสุนปืนที่จำเลยยิงอาจถูกผู้เสียหายทั้งสองถึงแก่ความตายได้ แม้ว่ากระสุนปืนที่จำเลยยิงจะถูกผู้เสียหายทั้งสองที่ต้นขาเพียงแต่เป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย ก็ถือได้ว่าจำเลยได้กระทำไปโดยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายทั้งสองแล้ว จำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายทั้งสอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80,288 จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 288 จำคุก 12 ปี จำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297 จำคุก 3 ปี โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติว่า วันเวลาเกิดเหตุขณะที่นายคีรีและนางคำเบาผู้เสียหายทั้งสองพากันเดินจะไปเที่ยวที่งานวัด นายคีรีพบเห็นจำเลยกำลังตบตีนางพิทักษ์ภริยาที่ถนนจึงได้พูดจาว่ากล่าวจำเลย จำเลยไม่พอใจพูดท้าให้นายคีรียิงต่อสู้กับจำเลย แล้วจำเลยได้ชักอาวุธปืนยิงไป 1 นัดกระสุนปืนถูกนายคีรีและนางคำเบาที่ต้นขาเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย โดยเฉพาะนายคีรีนั้นได้รับอันตรายแก่กายสาหัสปรากฏตามรายงานการชันสูตรบาดแผลท้ายฟ้อง คดีมีข้อวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยใช้อาวุธปืนยิงทำร้ายนายคีรีและนางคำเบาโดยมีเจตนาฆ่า อันจะเป็นความผิดฐานพยายามฆ่านายคีรีและนางคำเบาหรือไม่ ประจักษ์พยานโจทก์คือนายคีรี นางคำเบา นางกองศรีและนายยรรยงค์ ต่างก็เบิกความว่า ขณะเกิดเหตุพยานเดินไปเห็นจำเลยกำลังตบตีนางพิทักษ์ภริยาอยู่ห่างไปประมาณ 1-2 วา เมื่อนายคีรีพูดจาว่ากล่าวที่จำเลยตบตีนางพิทักษ์ที่ถนน จำเลยไม่พอใจพูดจาท้าให้นายคีรียิงต่อสู้กับจำเลยแล้วจึงได้ใช้อาวุธปืนยิงนายคีรีและนางคำเบา ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายทั้งสองในระยะเพียง 1-2 วา กระสุนปืนถูกผู้เสียหายทั้งสองหลายแห่ง นายคีรีมีบาดแผลถึง 10 แห่ง แพทย์ผู้รักษาเห็นว่าหากไปรักษาบาดแผลช้ากว่า 2 ชั่วโมงจะต้องถึงแก่ความตายเช่นนี้ แสดงว่า จำเลยย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำว่ากระสุนปืนที่จำเลยยิงอาจถูกผู้เสียหายทั้งสองถึงแก่ความตายได้แม้ว่ากระสุนปืนที่จำเลยยิงจะถูกผู้เสียหายทั้งสองที่ต้นขาเพียงแต่เป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย ก็ถือได้ว่าจำเลยได้กระทำไปโดยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายทั้งสองแล้ว คดีฟังได้ว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายทั้งสองโดยมีเจตนาฆ่า จำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายทั้งสอง ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยเพียงแต่มีเจตนาทำร้ายมิได้มีเจตนาฆ่าผู้เสียหายทั้งสองนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น