แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่1สั่งจ่ายเช็คให้แก่โจทก์เพื่อชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมต่อมาโจทก์นำเช็คฉบับดังกล่าวมาฟ้องจำเลยที่2เป็นคดีอาญาการที่โจทก์จำเลยที่1ตกลงกันในคดีดังกล่าวว่าจำเลยที่1ยอมชำระหนี้แก่โจทก์เป็นงวดๆและเมื่อจำเลยที่1ชำระหนี้ครบถ้วนแล้วโจทก์จะถอนฟ้องนั้นข้อตกลงดังกล่าวหาได้ระงับข้อพิพาทที่เกิดให้เสร็จสิ้นไปทีเดียวยังมีเงื่อนไขว่าให้จำเลยที่1ชำระหนี้จนครบถ้วนเสียก่อนโจทก์จึงจะถอนฟ้องให้ข้อตกลงหาใช่สัญญาประนีประนอมยอมความอันจะเป็นเหตุให้หนี้ตามสัญญากู้ระงับไม่ จำเลยที่1ทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์2ฉบับแต่ชำระหนี้ให้แก่โจทก์เพียงบางส่วนเมื่อไม่ปรากฎว่าเป็นการชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินฉบับใดต้องถือว่าจำเลยที่1ชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินฉบับแรกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ไปจำนวน 300,000 บาท ตกลงดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี กำหนดชำระต้นเงินและดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ภายในวันที่ 21 กรกฎาคม 2517 หากผิดนัดไม่ชำระดอกเบี้ยยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยที่ค้างทบต้นได้โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันและยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 1 จำนวน 300,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยและยอมให้โจทก์ผ่อนเวลาชำระหนี้แก่จำเลยที่ 1 ได้ ต่อมาจำเลยที่ 1กู้เงินจากโจทก์อีกจำนวน 216,000 บาท ตกลงดอกเบี้ยอัตราร้อยละ15 ต่อปี กำหนดชำระดอกเบี้ยภายใน 1 ปี มิได้กำหนดเวลาชำระต้นเงินแก่โจทก์ ถ้าหากว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาข้อใดข้อหนึ่งยอมให้โจทก์เรียกต้นเงินกู้คืนทันที และหากผิดนัดไม่ชำระดอกเบี้ยยอมให้โจทก์นำดอกเบี้ยที่ค้างทบต้นได้ และประมาณเดือนธันวาคม 2527จำเลยที่ 1 ได้สั่งจ่ายเช็คธนาคารศรีนคร จำกัด สาขาสีคิ้วลงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2528 จำนวนเงิน 539,000 บาท ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ปรากฎว่าเมื่อเช็คถึงกำหนด ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินโจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ 1 ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คต่อศาลจังหวัดสีคิ้ว ต่อมา วันที่ 25 กันยายน 2530จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพและยอมรับว่าเป็นหนี้โจทก์จำนวน539,000 บาท ตามเช็คพิพาท ขอผ่อนชำระหนี้ออกเป็นงวด ๆ รวม 31 งวดจำเลยที่ 1 ได้ผ่อนชำระหนี้ให้แก่โจทก์รวมเป็นเงิน 285,000 บาทคงค้างชำระอยู่อีกจำนวน 254,000 บาท จำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระหนี้โจทก์ได้ทวงถาม จำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ ขอให้บังคับจำเลยที่ 1ชำระเงินจำนวน 1,185,575 บาท พร้อมดอกเบี้ย ให้จำเลยที่ 2 ร่วมชำระเงินจำนวน 525,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 ได้กู้เงินจากโจทก์จำนวน300,000 บาท โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน และจำเลยที่ 1ได้กู้เงินจากโจทก์อีกจำนวน 216,000 บาท จริง แต่ต่อมาเมื่อประมาณเดือนธันวาคม 2527 จำเลยที่ 1 ได้สั่งจ่ายเช็คธนาคารศรีนคร จำกัดสาขาสีคิ้ว ฉบับลงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2528 สั่งจ่ายเงินจำนวน539,000 บาท ให้แก่โจทก์ เป็นการเปลี่ยนมูลหนี้จากสัญญากู้เงินเป็นสั่งจ่ายเช็คแทน แต่โจทก์ไม่ยอมคืนสัญญากู้ให้แก่จำเลยที่ 1หลังจากนั้นโจทก์ได้นำเช็คฉบับดังกล่าวยื่นฟ้องจำเลยที่ 1ต่อศาลจังหวัดสีคิ้ว เป็นคดีอาญา จำเลยที่ 1 ยอมรับต่อศาลและยอมผ่อนชำระเงินให้แก่โจทก์เรื่อยมารวมเป็นเงิน 285,000 บาท คงค้างชำระอยู่อีก 254,000 บาท จึงไม่มีมูลหนี้ตามสัญญากู้ ดังนั้น จำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันจึงไม่ต้องรับผิดตามสัญญากู้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้แก่โจทก์เป็นเงิน254,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน903,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย ให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 525,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า หนี้ตามสัญญากู้ยืมทั้งสองฉบับ โจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้คิดจำนวนหนี้สินแล้ว จำเลยที่ 1 ยังเป็นหนี้โจทก์เป็นเงินจำนวน 539,000 บาท เท่านั้น จำเลยที่ 1 จึงสั่งจ่ายเช็คตามเอกสารหมาย ล.2 ชำระหนี้ให้โจทก์ เมื่อจำเลยที่ 1 ผ่อนชำระหนี้ตามเช็คฉบับดังกล่าวให้โจทก์เป็นบางส่วนแล้วตามข้อตกลงที่ศาลจังหวัดสีคิ้ว จนถึงงวดวันที่ 30 พฤศจิกายน 2531 รวมเป็นเงิน285,000 บาท แล้วผิดนัด จึงเหลือหนี้ที่จำเลยที่ 1 จะต้องชำระให้โจทก์อีกเพียง 254,000 บาท เท่านั้น และเมื่อฟังว่าจำเลยที่ 1 ได้ชำระหนี้ให้โจทก์ด้วยเช็คตามเอกสารหมาย ล.2 แล้ว เมื่อโจทก์นำเช็คฉบับดังกล่าวฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีอาญาว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คที่ศาลจังหวัดสีคิ้ว การที่โจทก์จำเลยที่ 1ตกลงกันโดยจำเลยที่ 1 ยอมรับว่าเป็นหนี้โจทก์ 539,000 บาทจำเลยที่ 1 ยอมชำระหนี้ให้โจทก์เป็นงวด ๆ และเมื่อจำเลยที่ 1ชำระหนี้ครบถ้วนแล้วโจทก์จะถอนฟ้องจำเลยที่ 1 ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลจังหวัดสีคิ้ว ลงวันที่ 25 กันยายน 2530เห็นว่าข้อตกลงดังกล่าวหาได้ระงับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นให้เสร็จสิ้นไปทีเดียว ยังมีเงื่อนไขว่าให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้จนครบถ้วนเสียก่อนโจทก์จึงจะถอนฟ้องให้ กรณีดังกล่าวหาใช้สัญญาประนีประนอมยอมความอันจะเป็นเหตุให้หนี้ตามสัญญากู้ระงับไม่ เมื่อจำเลยที่ 1 ยังคงต้องรับผิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันตามสัญญากู้ยืมเงินต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย เมื่อปรากฎว่า จำเลยที่ 1ได้ชำระเงินให้แก่โจทก์ไปแล้วจำนวน 285,000 บาท คงเหลือหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินทั้งสองฉบับ เป็นเงิน 258,000 บาท แต่การชำระหนี้ดังกล่าวไม่ปรากฎว่าเป็นการชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินฉบับใดจึงต้องถือว่า จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินฉบับแรกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 328 วรรคสอง คงเหลือหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินฉบับแรกเพียง 15,000 บาท ดังนั้น จำเลยที่ 2จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ตามสัญญากู้ยืมเงินฉบับแรก เป็นเงิน15,000 บาท
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้แก่โจทก์จำนวน254,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย โดยให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดในหนี้ดังกล่าวกับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 15,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย