คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 602/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ภริยาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายของโจทก์เป็นผู้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์มาโดยโจทก์เป็นผู้ไปติดต่อตกลงกับผู้ขายและเป็นผู้ค้ำประกัน โจทก์ขายนาของโจทก์มาชำระราคารถ และเป็นผู้จัดการนำรถไปเดินรับส่งคนโดยสารหารายได้เลี้ยงครอบครัว ตลอดทั้งเป็นผู้ควบคุมเก็บรักษารถ ภริยาโจทก์รับว่าโจทก์เป็นผู้ซื้อรถ แต่ลงชื่อภริยาไว้เพราะภริยาโจทก์เกรงว่าโจทก์จะไปมีภริยาใหม่ และการที่จำเลยขับรถไปพลิกคว่ำโดยประมาททำให้รถเสียหาย ย่อมเป็นการทำให้เสียหายแก่การเดินรถหารายได้มาเลี้ยงครอบครัว ทั้งโจทก์และภริยาอาจต้องรับผิดกับผู้ให้เช่าซื้ออีกด้วย โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้
โจทก์ได้จ้างจำเลยมาขับรถยนต์ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ว่าจำเลยอายุเพียง 18-19 ปี และไม่มีใบขับขี่ ซึ่งโดยปกติย่อมจะถืออยู่ว่าเป็นผู้มีความระมัดระวังและความสามารถในการขับรถน้อยอยู่แล้วจึงนับว่าเป็นความประมาทของโจทก์อันมีส่วนเป็นเหตุทำให้เกิดความเสียหายขึ้น ถือได้ว่าโจทก์เสี่ยงยอมรับผลเช่นนั้นอยู่แล้ว จึงควรมีส่วนรับผิดด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ ผู้เยาวร์อายุ ๑๘ ปี เป็นบุตรอยู่ใต้อำนาจการปกครองของจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นบิดา ได้ขับรถโจทก์โดยพลการและโดยประมาทเลินเล่อ ทำให้รถโจทก์พลิกตกลงไปในคูข้างถนน เสียหาย การกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดต่อโจทก์จำเลยที่ ๒ ซึ่งใช้อำนาจปกครองจำเลยที่ ๑ ต้องรับผิดด้วย โจทก์ได้ทวงถามให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย จำเลยไม่ยอมใช้ให้ตามที่เสียไป ขอให้ศาลบังคับ
จำเลยต่อสู้ว่า รถตามฟ้องเป็นกรรมสิทธิของคนอื่น อยู่ในความครอบครองของโจทก์ โจทก์ไม่ได้เป็นเจ้าของจึงไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีสิทธิฟ้องคดีนี้ โจทก์จ้างจำเลยที่ ๑ ขับรถ รถเกิดอุบัติเหตุห้ามล้อแตกจึงพริกคว่ำ เป็นเหตุสุดวิสัย จำเลยไม่ได้ประมาท ไม่ต้องรับผิด จำเลยที่ ๒ ได้ใช้ความระมัดระวังจำเลยที่ ๑ ตามหน้าที่บิดาแล้ว โจทก์เสียหายไม่มาก จำเลยไม่เคยยอมรับว่าจะใช้ค่าเสียหายให้โจทก์
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ให้คำเสียหายแก่โจทก์ ๓,๑๕๐ บาท ยกฟ้องจำเลยที่ ๒
โจทก์อุทธรณ์ให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ๗,๗๕๐ บาท และให้จำเลยที่ ๒ ร่วมรับผิดด้วย
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของรถพิพาท ไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของรถพิพาท ไม่มีอำนาจฟ้องพิพากษาแก้ให้ยกฟ้องเกี่ยวกับจำเลยที่ ๑ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า แม้รถพิพาทจะยังเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ขาย และนางกรีภริยาโจทก์โดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันเป็นผู้ทำสัญญาเช่าซื้อมา แต่การเช่าซื้อรายนี้โจทก์เป็นผู้ไปติดต่อตกลงกับผู้ขาย และเป็นผู้ค้ำประกันกับนางกรีโจทก์ขายนาของโจทก์มาชำระราคารถ และเป็นผู้จัดการนำรถไปเดินรับส่งคนโดยสารหารายได้มาเลี้ยงดูอุปการะครอบครัว ตลอดจนเป็นผู้ควบคุมดูแลเก็บรักษารถนางกรีเองก็ว่า การซื้อรถนี้โจทก์เป็นผู้ซื้อ แต่ที่ลงชื่อนางกรีเพราะนางกรีไม่ไว้ใจเกรงสามีจะไปมีภริยาใหม่ และการที่จำเลยขับรถไปพลิกคว่ำโดยประมาททำให้รถเสียหายเช่นนี้ ย่อมเป็นการทำให้เสียหายแก่การเดินรถหารายได้มาเลี้ยงครอบครัวทั้งโจทก์และภริยาอาจต้องรับผิดกับผู้ให้เช่าซื้ออีกด้วย โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์จ้างจำเลยที่ ๑ มาขับรถยนต์พิพาท โดยรู้อยู่ว่าจำเลยอายุเพียง ๑๘-๑๙ ปี และไม่มีใบขับขี่ ซึ่งโดยปกติย่อมจะต้องถืออยู่ว่าเป็นผู้มีความระมัดระวังและความสามารถในการขับรถน้อยอยู่แล้ว จึงนับว่าเป็นความประมาทของโจทก์อันมีส่วนเป็นเหตุทำให้เกิดความเสียหายขึ้น ถือได้ว่าโจทก์เสี่ยงยอมรับผลเช่นนั้นอยู่แล้ว จึงควรมีส่วนรับผิดด้วย ส่วนค่าขาดรายได้ซึ่งโจทก์ขอเพิ่มจากที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้ ไม่มีเหตุที่ควรจะแก้ไข
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีไปตามศาลชั้นต้น

Share