คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6013/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 จัตวา (3)เพียงแต่ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ร้องเป็นบริวารของจำเลยในกรณีที่ผู้ร้องมิได้ยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษว่าผู้ร้องไม่ใช่บริวารของจำเลยภายในกำหนดเวลา 8 วัน นับแต่วันที่เจ้าพนักงานบังคับคดีปิดประกาศ แม้ล่วงเลยกำหนดเวลาดังกล่าวไปแล้ว ถ้าผู้ร้องมีหลักฐานสืบแสดงได้ว่าผู้ร้องไม่ใช่บริวารจำเลย ก็ชอบจะยื่นคำร้องนำพยานหลักฐานมาสืบพิสูจน์ถึงสถานภาพของผู้ร้องได้ และแม้ผู้ร้องจะไม่ขอขยายระยะเวลายื่นคำร้องไว้ก็ไม่ตัดสิทธิที่จะยื่นคำร้องในภายหลังเพราะระยะเวลาดังกล่าวเป็นเพียงระยะเวลาที่กฎหมายสันนิษฐานถึงสถานภาพของบุคคลว่าใช่หรือไม่ใช่บริวารของลูกหนี้ตามคำพิพากษาเท่านั้น มิใช่ระยะเวลาสิ้นสุดเพื่อให้ดำเนินหรือมิได้ดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 23

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอาคารพิพาทและเรียกค่าเสียหายเท่าราคาค่าเช่าซึ่งอาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้องเดือนละ 100,000 บาท แม้ศาลอุทธรณ์จะพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นว่าผู้ร้องไม่ใช่บริวารของจำเลย คดีโจทก์ก็ไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากอาคารเลขที่ 285, 316, 317, 340 และ 341 บริเวณเส้นทึบอักษร “เอ”ตามแผนผังเอกสารท้ายฟ้องหมาย 2 ภายในกำหนด 7 วัน นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความและให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 10,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จำเลยไม่ปฎิบัติตามคำพิพากษา โจทก์จึงขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีเจ้าพนักงานบังคับคดีปิดประกาศกำหนดเวลาให้ผู้ที่อ้างว่าไม่ใช่บริวารของจำเลยยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษต่อศาลภายในกำหนดเวลา 8 วัน นับแต่วันปิดประกาศ ถ้าไม่ยื่นภายในกำหนดดังกล่าวให้สันนิษฐานว่าเป็นบริวารของจำเลย
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องในฐานะส่วนตัวและในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตรรวม 4 คน ไม่ใช่บริวารของจำเลยแต่ผู้ร้องและบุตรเป็นผู้มีสิทธิและอำนาจพิเศษที่จะอยู่ในอาคารเลขที่ 316 ได้โดยชอบด้วยกฎหมาย เพราะอาคารดังกล่าวตลอดจนที่ดินโฉนดเลขที่ 3900 และ 3902 ซึ่งอาคารดังกล่าวปลูกสร้างอยู่บนที่ดินเป็นทรัพย์สินส่วนหนึ่งที่รวมอยู่กับทรัพย์สินอื่น ๆ ในกองมรดกของนายบัณฑูร องค์วิศิษฐ์ซึ่งยังไม่ได้แบ่งให้แก่ทายาท โจทก์เป็นเพียงผู้ถือกรรมสิทธิ์ทางทะเบียนในฐานะเป็นตัวแทนทายาทอื่น ๆ ในกองมรดกของนายบัณฑูรเท่านั้นนายเฉลิมชัย องค์วิศิษฐ์เป็นบุตรของนายบัณฑูร ได้ทำการปกครองทรัพย์มรดกดังกล่าวมาและทำประโยชน์ร่วมกับผู้ร้องในที่ดินอันเป็นทรัพย์มรดกจนถึงวันที่นายเฉลิมชัยถึงแก่ความตาย ผู้ร้องและบุตรก็ยังปกครองทรัพย์มรดกต่อมาจนถึงทุกวันนี้ ผู้ร้องเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายเฉลิมชัยได้อยู่ร่วมกันในที่ดินแปลงดังกล่าวและมีบุตรกับนายเฉลิมชัยรวม 4 คน ผู้ร้องและบุตรทั้งสี่จึงเป็นผู้มีสิทธิรับมรดกของนายเฉลิมชัยในกองทรัพย์มรดกของนายบัณฑูร อันรวมถึงที่ดินที่ถูกฟ้องขับไล่นี้ด้วย เหตุที่ผู้ร้องไม่ได้ยื่นคำร้องนี้ภายในกำหนด 8 วันนับแต่วันปิดประกาศนั้นเนื่องจากผู้ร้องเป็นบุคคลภายนอกคดีที่โจทก์จำเลยได้สมคบกันทำเป็นคดีนี้และเรื่องนี้เกิดขึ้นนานมาแล้ว เอกสารที่ต้องสืบเสาะติดตามเป็นจำนวนมากจึงทำให้ล่วงเวลาเกินกว่าที่กฎหมายได้กำหนดไว้ผู้ร้องและบุตรทุกคนไม่ใช่บริวารของจำเลย แต่มีสิทธิและอำนาจพิเศษที่จะอยู่ในอาคารพิพาทได้จึงไม่อยู่ภายใต้การบังคับคดีตามคำพิพากษาในคดีนี้
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องอยู่อาศัยในห้องเช่าบนอาคารเลขที่ 316 ชั้นที่ 3 และที่ 4 ซึ่งนอกเหนือการบังคับคดีของโจทก์ และผู้ร้องอยู่ในอาคารเลขที่ 316 ชั้นที่ 1 และที่ 2 ในฐานะเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นในบริษัทจำเลย ผู้ร้องจึงเป็นบริวารของจำเลย ผู้ร้องไม่มีสิทธิในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินโฉนดเลขที่ 3900 และ 3902 เพราะที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ผู้ร้องไม่มีสิทธิและอำนาจพิเศษที่จะอยู่ในที่ดินดังกล่าว ผู้ร้องยื่นคำร้องเกิน 8 วันนับแต่วันปิดประกาศของเจ้าพนักงานบังคับคดีเหตุผลที่ยื่นคำร้องเกินเวลา 8 วัน รับฟังไม่ได้การกระทำของผู้ร้องเป็นการประวิงการบังคับคดี ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกเลิกการบังคับคดีเกี่ยวกับผู้ร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า เมื่อผู้ร้องมิได้ยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษว่าผู้ร้องไม่ใช่บริวารของจำเลยเสียภายในกำหนดเวลา 8 วันนับแต่วันที่เจ้าพนักงานบังคับคดีปิดประกาศผู้ร้องจะมายื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษเมื่อเลยกำหนดเวลาดังกล่าวได้หรือไม่ว่าผู้ร้องไม่ใช่บริวารของจำเลย เห็นว่าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งได้บัญญัติเกี่ยวกับสิทธิของผู้ร้องไว้ในมาตรา 296 จัตวา (3) คือถ้าผู้ร้องไม่ได้ยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษว่าผู้ร้องไม่ใช่บริวารของจำเลยต่อศาลชั้นต้นเสียภายในกำหนดเวลา 8 วันนับแต่วันที่เจ้าพนักงานบังคับคดีปิดประกาศ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ร้องเป็นบริวารของจำเลย การที่กฎหมายเพียงแต่ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ร้องเป็นบริวารของจำเลยในกรณีที่ผู้ร้องมิได้ยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษว่าผู้ร้องไม่ใช่บริวารของจำเลยเสียภายในกำหนดเวลา8 วันนับแต่วันที่เจ้าพนักงานบังคับคดีปิดประกาศ แสดงว่ากฎหมายมิได้บัญญัติบังคับไว้โดยเด็ดขาดว่า ถ้าผู้ร้องไม่ได้ยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษต่อศาลภายในกำหนดเวลา 8 วันนับแต่วันที่เจ้าพนักงานบังคับคดีปิดประกาศแล้วผู้ร้องจะต้องเป็นบริวารของจำเลยสถานเดียวโดยบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวจะเห็นได้ว่าแม้ล่วงเลยกำหนดเวลา 8 วันนับแต่วันที่เจ้าพนักงานบังคับคดีปิดประกาศไปแล้ว ถ้าผู้ร้องมีหลักฐานสืบแสดงได้ว่าผู้ร้องไม่ใช่บริวารของจำเลย ผู้ร้องก็ชอบที่จะยื่นคำร้องนำพยานหลักฐานมาสืบพิสูจน์สถานภาพของผู้ร้องได้ว่า ผู้ร้องไม่ใช่บริวารของจำเลย และแม้ผู้ร้องจะไม่ได้ขอขยายระยะเวลายื่นคำร้องเสียก่อนสิ้นระยะเวลา 8 วันนับแต่วันที่เจ้าพนักงานบังคับคดีปิดประกาศก็ไม่ตัดสิทธิผู้ร้องที่จะยื่นคำร้องในภายหลังเพราะระยะเวลา 8 วันดังกล่าวเป็นเพียงระยะเวลาที่กฎหมายสันนิษฐานถึงสถานภาพของบุคคลว่าใช่หรือไม่ใช่บริวารของลูกหนี้ตามคำพิพากษาเท่านั้น มิใช่ระยะเวลาสิ้นสุดเพื่อให้ดำเนินหรือมิให้ดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ดังที่โจทก์ฎีกา ฎีกาของโจทก์ในประเด็นนี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนที่ผู้ร้องกล่าวแก่ฎีกาว่าเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนว่าผู้ร้องไม่ใช่บริวารของจำเลยเนื่องจากผู้ร้องมีสิทธิอยู่อาศัยและใช้อาคารพิพาทในฐานะทายาทผู้รับมรดกแทนที่ของเจ้ามรดก คำสั่งให้ยกเลิกการบังคับคดีเอาแก่ผู้ร้อง ห้ามมิให้โจทก์ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248วรรคสาม นั้น เห็นว่า เมื่อคดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอาคารพิพาทและเรียกค่าเสียหายเอาแก่จำเลยเท่าราคาค่าเช่าซึ่งอาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้องเดือนละ 100,000 บาทซึ่งเกินกว่าเดือนละ 5,000 บาท ตามที่มาตรา 248 วรรคสองแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งบังคับใช้อยู่ในขณะนั้นแม้ศาลอุทธรณ์จะพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นว่าผู้ร้องไม่ใช่บริวารของจำเลย คดีโจทก์ก็ไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงดังที่ผู้ร้องเข้าใจ”
พิพากษายืน

Share