คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6011/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ซื้อที่ดินพร้อมบ้านจากผู้มีชื่อโดยให้จำเลยลงชื่อรับโอนที่ดินและบ้านแทนโจทก์ แต่จำเลยมิได้เข้าไปครอบครองที่ดินและบ้านดังกล่าวแต่อย่างใด ดังนั้นแม้จำเลยจะโอนที่ดินและบ้านของโจทก์ให้ผู้อื่นไป การกระทำของจำเลยก็ไม่เป็นความผิดฐานยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นตัวแทนโจทก์ ซื้อที่ดินมีโฉนดพร้อมบ้านจากผู้มีชื่อโดยลงชื่อรับโอนแทนโจทก์ ต่อมาจำเลยเบียดบังเอาที่ดินพร้อมบ้านเป็นประโยชน์ของตนหรือบุคคลอื่นโดยทุจริตโดยจดทะเบียนขายให้บุคคลอื่น ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วประทับฟ้อง จำเลยให้การปฏิเสธศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352, 353 แต่ให้ลงโทษตามมาตรา 352 จำคุก 3 เดือนศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า แม้โจทก์จะมอบให้จำเลยรับโอนบ้านและที่ดินไว้ก็ตาม แต่จำเลยมิได้เข้าไปครอบครองบ้านและที่ดินดังกล่าวแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยก็ไม่เป็นความผิดฐานยักยอก พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ฎีกาว่าถึงแม้จำเลยจะไม่เคยเข้าไปอยู่อาศัยในบ้านและที่ดินก็ตาม แต่ที่ดินและบ้านเจ้าของเดิมเป็นผู้อยู่อาศัยตลอดมาจนจำเลยได้โอนขายบ้านและที่ดินให้ผู้อื่นถือว่าเจ้าของเดิมได้ครอบครองไว้แทนจำเลยนั้น นางสายยนต์อยู่หนูพะเนาว์ เจ้าของเดิม พยานโจทก์เบิกความว่าเมื่อพยานตกลงขายบ้านและที่ดินให้โจทก์แล้ว พยานขออาศัยในบ้านหลังนี้ไปก่อน โจทก์ตกลง และต่อมาพยานทราบว่าจำเลยขายบ้านและที่ดินแล้ว เพราะเดือดร้อนและต้องไปอาศัยน้องอยู่ที่บ้านพักครู ซึ่งอาศัยสิทธิของน้องอยู่ ที่พยานออกจากบ้านซึ่งพยานเป็นผู้ขายให้โจทก์ไปเพราะถูกคนซื้อขับไล่ ซึ่งจะเห็นได้ว่าโจทก์นำสืบเองว่าเจ้าของเดิมอยู่อาศัยในบ้านและที่ดินก็โดยอาศัยสิทธิของโจทก์เช่นนี้แล้ว โจทก์จะฎีกาอ้างว่า เจ้าของเดิมครอบครองบ้านและที่ดินแทนจำเลยได้อย่างไร สำหรับฎีกาของโจทก์ที่ว่าข้อเท็จจริงได้ความว่าบ้านและที่ดินติดจำนองกับธนาคาร จำเลยฐานะตัวแทนโจทก์ได้ไปไถ่ถอนจำนองจากธนาคารและโอนมาเป็นชื่อของจำเลยในโฉนดเห็นได้ว่าจำเลยแสดงเจตนายึดถือและครอบครองในบ้านและที่ดินแล้วนั้น เห็นว่า ในเมื่อโจทก์ยอมรับแล้วว่าที่จำเลยไปจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองบ้านและที่ดินแล้วโอนชื่อในโฉนดมาเป็นชื่อของจำเลยนั้นจำเลยกระทำไปในฐานะที่เป็นตัวแทนโจทก์ ดังนั้น โจทก์จึงไม่อาจโต้เถียงได้อีกว่า จำเลยกระทำการดังกล่าวเป็นการแสดงเจตนายึดถือและครอบครองที่ดินเพื่อตน ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า ในโฉนดที่ดินเป็นชื่อจำเลยซึ่งตามกฎหมายสันนิษฐานว่าเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครอง และมีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายทุกประการนั้นเห็นว่า ถึงแม้จะมีข้อสันนิษฐานไว้ทำนองนั้นจริงก็ตาม แต่คดีนี้ข้อเท็จจริงฟังได้ยุติตามที่โจทก์นำสืบแล้วว่า หลังจากที่จำเลยมีชื่อในโฉนดแล้ว ผู้ที่ครอบครองบ้านและที่ดินก็คือเจ้าของเดิมซึ่งครอบครองโดยอาศัยสิทธิของโจทก์ จำเลยไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้องกับบ้านและที่ดินตามโฉนดแต่อย่างใด จนกระทั่งได้จดทะเบียนโอนขายบ้านและที่ดินให้ผู้อื่นไป ฉะนั้น โจทก์จึงไม่อาจอ้างข้อสันนิษฐานดังกล่าวให้เป็นประโยชน์แก่โจทก์ได้”
พิพากษายืน

Share