คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6005/2548

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่ามีการทำสัญญาระหว่างโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าหนี้กับจำเลยที่ 7 ซึ่งจะเข้าเป็นลูกหนี้คนใหม่ สัญญาแปลงหนี้ใหม่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 350 จึงไม่เกิดขึ้น
จำเลยที่ 2 อ้างว่าที่ดินพิพาทราคาเพียงไร่ละ 200,000 บาทเท่านั้น ราคาที่ดินที่ระบุไว้ในสัญญาจะซื้อจะขายไร่ละ 900,000 บาท ไม่ใช่ราคาที่แท้จริง โจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 2 ชำระราคาที่ดินที่เหลือเป็นจำนวนเงินถึง 13,492,500 บาท แต่สัญญาจะซื้อจะขายระบุจำนวนเงินส่วนที่เหลือและกำหนดเวลาชำระกันไว้ชัดเจนแล้ว ข้ออ้างของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวเป็นการอ้างเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสาร ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 94 วรรคแรก (ข) จึงรับฟังไม่ได้
โจทก์ทั้งสองฟ้องและมีคำขอท้ายฟ้องให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาท ให้ที่ดินแปลงดังกล่าวกลับมาเป็นของโจทก์ทั้งสอง โดยให้จำเลยกับพวกร่วมกันชำระค่าธรรมเนียมอากรแทนโจทก์ทั้งสอง หากจำเลยที่ 3 และที่ 7 ไม่ยอมไปจดทะเบียนให้โจทก์ทั้งสองให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา ให้จำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันชำระค่าเสียหายเป็นเงิน 9,191,764 บาท พร้อมดอกเบี้ยจากต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยที่ 3 และที่ 7 ไม่สามารถไปจดทะเบียนโอนที่ดินกลับมาเป็นของโจทก์ทั้งสองได้ ให้จำเลยทั้งเจ็ดชำระราคาที่ดินแทนเป็นเงิน 36,225,000 บาท ตามราคาที่ได้ทำสัญญาซื้อขายกันไว้ ณ สำนักงานที่ดินจังหวัด กับให้จำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสองด้วย ตามคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องโจทก์ทั้งสองมิได้ประสงค์เพียงแต่จะได้ค่าปรับจากจำเลยที่ 2 เท่านั้น แต่ประสงค์จะได้ที่ดินพิพาทกลับคืนมาเป็นของโจทก์ทั้งสองด้วย หากจำเลยไม่สามารถจดทะเบียนโอนกลับมาเป็นของโจทก์ทั้งสองก็ขอให้ใช้ราคาแทน ดังนั้นการที่ศาลวินิจฉัยว่าสัญญาจะซื้อจะขายดังกล่าวเป็นสัญญาต่างตอบแทน เมื่อโจทก์ทั้งสองโอนที่ดินให้ตามสัญญาแล้ว แต่ฝ่ายจำเลยไม่ชำระราคาส่วนที่เหลือจึงพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชำระค่าที่ดินส่วนที่เหลือพร้อมดอกเบี้ยจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง จึงไม่เกินคำขอ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 24 หมู่ที่ 2 ตำบลบางแก้ว อำเภอเมืองสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสงคราม ฉบับลงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2539 ระหว่างจำเลยที่ 3 และที่ 7 กลับเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งสอง โดยให้จำเลยกับพวกร่วมกันชำระค่าธรรมเนียมอากรแทนโจทก์ หากจำเลยที่ 3 และที่ 7 เพิกเฉย ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา ให้จำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันชำระเงินจำนวน 9,191,765 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยที่ 3 และที่ 7 ไม่สามารถไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กลับเป็นของโจทก์ทั้งสองได้ไม่ว่าด้วยกรณีใด ให้จำเลยทั้งเจ็ดชำระราคาที่ดินแทนเป็นเงิน 36,225,000 บาท ตามราคาที่ดินที่ทำสัญญาซื้อขาย ณ สำนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรสงคราม
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ที่ 6 และที่ 7 ให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 5 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ชำระค่าที่ดินจำนวน 13,392,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่เดือนธันวาคม 2539 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง ให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นแทนโจทก์ทั้งสอง เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ทั้งสองชนะคดีในชั้นอุธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาจะซื้อจะขายหรือไม่ จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าไม่ต้องรับผิดโดยอ้างเหตุผลข้อแรกว่ามีการแปลงหนี้ใหม่โดยเปลี่ยนตัวลูกหนี้จากจำเลยที่ 2 มาเป็นจำเลยที่ 3 และที่ 7 แล้ว จำเลยที่ 7 จึงเป็นผู้รับผิดชอบชำระราคาที่ดินที่เหลือให้แก่โจทก์ทั้งสอง จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ เห็นว่า ป.พ.พ. มาตรา 350 บัญญัติว่า แปลงหนี้ใหม่ด้วยเปลี่ยนตัวลูกหนี้นั้นจะทำเป็นสัญญาระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้คนใหม่ก็ได้ แต่จะทำโดยขืนใจลูกหนี้เดิมหาได้ไม่ ตามข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่ามีการทำสัญญากันระหว่างโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าหนี้กับจำเลยที่ 7 ซึ่งจะเข้าเป็นลูกหนี้คนใหม่ สัญญาแปลงหนี้ใหม่จึงไม่เกิดขึ้น ข้ออ้างของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวจึงฟังไม่ขึ้น จำเลยที่ 2 อ้างเหตุผลอีกข้อหนึ่งว่า ที่ดินพิพาทราคาเพียงไร่ละ 200,000 บาทเท่านั้น ราคาที่ดินที่ระบุไว้ในสัญญาจะซื้อจะขายไม่ใช่ราคาที่แท้จริง โจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 2 ชำระราคาที่ดินที่เหลือเป็นจำนวนเงินถึง 13,492,500 บาท เห็นว่า สัญญาจะซื้อจะขายข้อ 3 ระบุไว้ว่า เรื่องการชำระเงิน ผู้จะซื้อตกลงชำระเงินแก่ผู้ขายดังต่อไปนี้ (ก.) ในวันที่ทำสัญญานี้ผู้จะซื้อได้ชำระเงินจำนวน 75,000 บาท ให้แก่ผู้จะขายโดยชำระเป็นเงินสดและผู้จะขายได้รับไว้เรียบร้อยแล้วโดยถือเป็นมัดจำ และถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการชำระเงินตามสัญญานี้ (ข.) เงินส่วนที่เหลืออีกจำนวน 13,492,500 บาท (สิบสามล้านสี่แสนเก้าหมื่นสองพันห้าร้อยบาทถ้วน) ผู้จะซื้อจะชำระให้ผู้ขายเป็น 2 งวด จะเห็นได้ว่ามีการตกลงเรื่องการชำระเงินกันไว้ชัดเจนแล้ว ข้ออ้างของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวเป็นการอ้างเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสาร ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 94 จึงรับฟังไม่ได้
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 อีกประการว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาเกินคำขอในคำฟ้องหรือไม่ จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า ตามคำฟ้องโจทก์ทั้งสองไม่ได้ประสงค์ขอใช้สิทธิเลิกสัญญาหรือขอให้ปฏิบัติตามสัญญา คงประสงค์เพียงแต่ขอปรับจำเลยเท่านั้น ซึ่งค่าปรับก็มิได้กำหนดกันไว้ในสัญญาจะซื้อจะขาย คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยให้บังคับจำเลยที่ 2 ปฏิบัติตามสัญญาจึงเกินคำขอ เห็นว่า โจทก์ทั้งสองฟ้อง และมีคำขอท้ายฟ้องให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนโอนขายที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ หมู่ที่ 2 ตำบลบางแก้ว อำเภอเมืองสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสงคราม ระหว่างจำเลยที่ 3 และที่ 7 ที่จดทะเบียนเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2539 ให้ที่ดินแปลงดังกล่าวกลับมาเป็นของโจทก์ทั้งสอง โดยให้จำเลยกับพวกร่วมกันชำระค่าธรรมเนียมอากรแทนโจทก์ทั้งสอง หากจำเลยที่ 3 และที่ 7 ไม่ยอมไปจดทะเบียนให้โจทก์ทั้งสองให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาให้จำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันชำระค่าเสียหายเป็นเงิน 9,191,765 บาท พร้อมดอกเบี้ยจากต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยที่ 3 และที่ 7 ไม่สามารถไปจดทะเบียนโอนที่ดินกลับมาเป็นของโจทก์ทั้งสองได้ ให้จำเลยทั้งเจ็ดชำระราคาที่ดินแทนเป็นเงิน 36,225,000 บาท ตามราคาที่ดินที่ได้ทำสัญญาซื้อขายกันไว้ ณ สำนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรสงคราม กับให้จำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสองด้วย ตามคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องโจทก์ทั้งสองจึงมิได้ประสงค์เพียงแต่จะได้ค่าปรับจากจำเลยที่ 2 เท่านั้น แต่ประสงค์จะได้ที่ดินพิพาทกลับคืนมาเป็นของโจทก์ทั้งสองด้วย หากจำเลยไม่สามารถจดทะเบียนโอนที่ดินคืนกลับมาเป็นของโจทก์ทั้งสองได้ก็ขอให้ใช้ราคาแทน ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยว่าสัญญาจะซื้อจะขายเป็นสัญญาต่างตอบแทน เมื่อโจทก์ทั้งสองโอนที่ดินให้ตามสัญญาแล้ว แต่ฝ่ายจำเลยไม่ชำระราคาส่วนที่เหลือให้ จึงพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินค่าที่ดินส่วนที่เหลือจำนวน 13,392,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่เดือนธันวาคม 2539 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสองจึงไม่เกินคำขอ ฎีกาของจำเลยที่ 2 ทุกข้อฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาเป็นเงิน 20,000 บาท แทนโจทก์ทั้งสอง.

Share