คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5992/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เงินที่ผู้ซื้อทรัพย์วางต่อศาลในวันประมูลซื้อทรัพย์เป็นเงินที่ผู้ซื้อทรัพย์ใช้ราคาทรัพย์ที่ประมูลได้จึงไม่เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ซื้อทรัพย์นับแต่วันที่วางเงินต่อศาล ย่อมไม่มีสิทธิเรียกร้องดอกเบี้ยจากเงินดังกล่าว

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญาแปลงหนี้ใหม่และสัญญาจำนอง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 3,556,200 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียมหากไม่ชำระให้ยึดที่ดินที่จำเลยจำนองตราไว้เป็นประกันหนี้โจทก์รวม 50 โฉนด ออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์ เมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาโจทก์จึงขอให้บังคับคดี และนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินรวม 50 โฉนดดังกล่าวออกขายทอดตลาด เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2532นายจำรัส เกียรติวงศ์ เป็นผู้ซื้อที่ดินทั้ง 50 โฉนดได้จากการขายทอดตลาดในราคา 1,770,000 บาท จำเลยยื่นคำร้องว่าที่ดินของจำเลยทั้ง 50 โฉนด มีราคาประเมินที่ใช้เป็นทุนทรัพย์ในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมประมาณ 7,500,000 บาทแต่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินไว้เพียง 1,750,000 บาทเพราะเจ้าพนักงานบังคับคดีกับโจทก์ร่วมกันกดราคาซื้อและดำเนินการขายทอดตลาดโดยวิธีการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ยกเลิกการขายทอดตลาดและให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดใหม่ ผู้ซื้อทรัพย์อุทธรณ์ ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ นายจำรัส เกียรติวงศ์ ผู้ซื้อทรัพย์ถึงแก่กรรมนายสันทัด เกียรติวงศ์ ทายาทของผู้ซื้อทรัพย์ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลอุทธรณ์อนุญาต และเมื่อศาลอุทธรณ์พิจารณาอุทธรณ์ของผู้ซื้อทรัพย์แล้ววินิจฉัยว่า จำเลยถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราวตามคดีล้มละลายหมายเลขดำที่ ล. 5/2532คดีหมายเลขแดงที่ ล. 3/2532 ของศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 26กรกฎาคม 2532 และศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2532 จำเลยย่อมหมดอำนาจที่จะดำเนินกิจการของตนต่อไป เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เท่านั้นมีอำนาจจัดการเกี่ยวกับทรัพย์ของจำเลย จำเลยยื่นคำร้องอ้างว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ภายหลังจากศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยแล้ว จึงเป็นการดำเนินคดีโดยไม่มีอำนาจ พิพากษากลับให้ยกคำร้องของจำเลย คดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ผู้ซื้อทรัพย์ยื่นคำร้องว่า เป็นผู้ซื้อที่ดินทั้ง 50 โฉนดของจำเลยจากการขายทอดตลาดดังกล่าวเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2532ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกเลิกการขายทอดตลาดดังกล่าวเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2534 เงินที่ผู้ซื้อทรัพย์วางไว้จึงเป็นเงินของผู้ซื้อทรัพย์ เพราะศาลชั้นต้นยกเลิกการขายทอดตลาดแล้ว ผู้ซื้อทรัพย์ขอเงินที่วางศาลจำนวน 1,770,000 บาท คืน แต่ศาลชั้นต้นไม่คืนให้ บัดนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า การขายทอดตลาดเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2532เป็นการขายที่ชอบด้วยกฎหมายและผู้ซื้อทรัพย์ได้ดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ซื้อมาเป็นของผู้ซื้อทรัพย์เรียบร้อยแล้วผู้ซื้อทรัพย์ประสงค์ขอคืนดอกเบี้ยจากเงินที่ศาลชั้นต้นไม่สั่งคืนให้ผู้ซื้อทรัพย์ นับจากวันที่ผู้ซื้อทรัพย์วางเงินต่อศาลชั้นต้นจนถึงวันที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ถอนเงินไปจากการบังคับคดีทั้งหมด ตามอัตราดอกเบี้ยที่ศาลชั้นต้นได้รับจากธนาคารเพราะเป็นดอกผลที่เกิดจากเงินของผู้ซื้อทรัพย์ขอให้สั่งคืนดอกเบี้ยทั้งหมดแก่ผู้ซื้อทรัพย์
ศาลชั้นต้นตรวจคำร้องของผู้ซื้อทรัพย์แล้วมีคำสั่งว่าเงินที่ผู้ซื้อทรัพย์วางศาลเป็นส่วนหนึ่งของการชำระราคาที่ดินแม้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกเลิกการขายทอดตลาดแต่ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกคำร้องของจำเลยแล้ว เงินที่ผู้ซื้อทรัพย์วางศาลจึงมิใช่กรรมสิทธิ์ของผู้ซื้อทรัพย์อีกต่อไป ผู้ซื้อทรัพย์ย่อมไม่มีสิทธิได้รับดอกผลจากเงินดังกล่าวอีก ยกคำร้อง
ผู้ซื้อทรัพย์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
ผู้ซื้อทรัพย์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาผู้ซื้อทรัพย์มีว่า เงินจำนวน 1,770,000 บาท ที่ผู้ซื้อทรัพย์วางต่อศาลชั้นต้นในวันประมูลซื้อทรัพย์ได้นั้น ยังเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ซื้อทรัพย์หรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 515 บัญญัติว่า “ผู้สู้ราคาสูงสุดต้องใช้ราคาเป็นเงินสดเมื่อการซื้อขายบริบูรณ์หรือตามเวลาที่กำหนดไว้ในคำโฆษณาบอกขาย”ดังนั้นเงินจำนวน 1,770,000 บาท เป็นเงินที่ผู้ซื้อทรัพย์ใช้ราคาทรัพย์ที่ประมูลได้ เงินจำนวนดังกล่าวจึงไม่เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ซื้อทรัพย์แล้ว นับแต่วันที่ผู้ซื้อทรัพย์วางต่อศาลแม้จำเลยจะยื่นคำร้องว่าการขายทอดตลาดดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายก็ตาม แต่ผลที่สุดศาลอุทธรณ์ก็พิพากษาว่า การขายทอดตลาดชอบด้วยกฎหมาย เมื่อได้มีการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่ขายทอดตลาดให้ผู้ซื้อทรัพย์แล้ว เงินจำนวนดังกล่าวจึงเป็นเงินที่ใช้ราคาทรัพย์ในวันที่วางเงินต่อศาลชั้นต้น การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการขายทอดตลาดเมื่อคดีไม่ถึงที่สุด เงินจำนวนดังกล่าวก็ไม่กลับมาตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ซื้อทรัพย์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน

Share