แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยในฐานะผู้ให้เช่าซื้อรถยนต์มีหน้าที่ต้องจัดการให้รถยนต์ที่เช่าซื้อตกเป็นสิทธิแก่โจทก์ผู้เช่าซื้อเมื่อโจทก์ชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนแล้ว การที่โจทก์ชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนแล้วจำเลยไม่จัดการจดทะเบียนโอนสิทธิให้แก่โจทก์ จึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยได้ ทั้งตามประกาศคณะกรรมการองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงินเรื่องการขอรับชำระหนี้สำหรับเจ้าหนี้และการจัดสรรเงินจากการขายทรัพย์สินให้แก่เจ้าหนี้ได้ความว่า เฉพาะเจ้าหนี้ที่ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามประกาศนี้จะต้องตกลงให้ความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรที่จะไม่ฟ้องสถาบันการเงินเป็นจำเลยในคดีแพ่งอันแสดงว่าข้อกำหนดดังกล่าวใช้บังคับเฉพาะเจ้าหนี้ที่ยื่นคำขอรับชำระหนี้เท่านั้นหาตัดสิทธิเจ้าหนี้ของสถาบันการเงินเช่นโจทก์ที่มิได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามประกาศดังกล่าวที่จะฟ้องคดีแพ่งด้วยไม่ อีกทั้งประกาศดังกล่าวก็หาได้กำหนดให้เจ้าหนี้ทุกคนต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ไม่ ดังนั้น โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ที่มิได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้และมิได้ตกลงให้ความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรที่จะไม่ฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่ง จึงย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยลูกหนี้ซึ่งเป็นสถาบันการเงินที่ถูกระงับการดำเนินกิจการโดยคณะกรรมการองค์การเพื่อปฏิรูประบบสถาบันการเงินเป็นคดีแพ่งได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์พิพาทกับบริษัทสยามกลการ จำกัดผู้ให้เช่าซื้อ เป็นเงิน 387,055.44 บาท ต่อมาวันที่ 1 สิงหาคม 2538 บริษัทสยามกลการจำกัด เปลี่ยนสัญญาจากผู้ให้เช่าซื้อเดิมมาเป็นจำเลยเป็นผู้ให้เช่าซื้อใหม่ โดยจำเลยตกลงเข้าสวมสิทธิและหน้าที่ของบริษัทสยามกลการ จำกัด ตามสัญญาเช่าซื้อเดิมที่โจทก์ทำไว้และโจทก์ตกลงผูกพันปฏิบัติตามเงื่อนไขสัญญาเช่าซื้อที่จำเลยรับโอนจากบริษัทสยามกลการ จำกัด ทุกประการ โจทก์ได้ปฏิบัติตามสัญญาเช่าซื้อโดยชำระเงินค่าเช่าซื้อครบถ้วนจนถึงงวดสุดท้าย จำเลยมีหน้าที่ต้องจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ดังกล่าวให้แก่โจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์พิพาทให้เป็นชื่อโจทก์ หากจำเลยไม่ไปให้ถือเอาตามคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลย
จำเลยให้การว่า โจทก์ผิดสัญญาเช่าซื้อ จำเลยได้มอบหมายให้บริษัททิสโก้ลีสซิ่งจำกัด ทวงถามให้โจทก์ชำระค่าเช่าซื้อที่ค้าง แต่โจทก์เพิกเฉยทุกครั้ง จำเลยจึงบอกเลิกสัญญาไปยังโจทก์แล้วและโจทก์มิได้โต้แย้ง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ นอกจากนี้จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพมหานครและคดีนี้มูลคดีเกิดขึ้นที่กรุงเทพมหานคร โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องต่อศาลจังหวัดนครราชสีมา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์หมายเลขทะเบียนภ-2831 นครราชสีมา ต่อนายทะเบียนขนส่งจังหวัดนครราชสีมาให้เป็นชื่อโจทก์ภายใน15 วัน นับแต่วันพิพากษา หากจำเลยไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกมีว่า โจทก์ชำระเงินค่าเช่าซื้อรถยนต์ให้แก่จำเลยครบถ้วนแล้วหรือไม่ เห็นว่าโจทก์และนายสุชาติ บุญมาก พยานโจทก์เบิกความประกอบสำเนาใบเสร็จรับเงินเอกสารหมาย จ.4 ฉบับแรกยืนยันตรงกันว่า ได้ชำระเงินค่าเช่าซื้อรถยนต์ให้จำเลยจนครบถ้วนแล้ว ซึ่งสำเนาใบเสร็จรับเงินเอกสารหมาย จ.4 ฉบับแรกดังกล่าวลงวันที่9 กุมภาพันธ์ 2542 ระบุว่าเป็นค่างวดสุดท้ายโดยจำเลยมิได้นำสืบหักล้างแต่อย่างใดแต่กลับได้ความตามคำเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านของนายถนอม จิตรนพคุณพยานจำเลยว่า โจทก์ได้ชำระค่างวดจนกระทั่งงวดสุดท้ายเรียบร้อยแล้วตามใบเสร็จรับเงินเอกสารหมาย จ.4 ฉบับแรกเช่นนี้ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าโจทก์ได้ชำระเงินค่าเช่าซื้อรถยนต์ให้แก่จำเลยครบถ้วนแล้ว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อสองมีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้หรือไม่ จำเลยฎีกาว่า จำเลยอยู่ในขั้นตอนของการชำระบัญชี โดยคณะกรรมการองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงินที่ตั้งขึ้นตามพระราชกำหนดการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน พ.ศ. 2540 มาตรา 30 เป็นผู้ดำเนินการชำระบัญชี โจทก์ชอบที่จะดำเนินการตามเงื่อนไขที่คณะกรรมการองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงินกำหนดเสียก่อนโดยยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อคณะกรรมการดังกล่าวตามประกาศคณะกรรมการองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน เรื่องการขอรับชำระหนี้สำหรับเจ้าหนี้ เมื่อโจทก์ไม่ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามข้อกำหนดในประกาศดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่าจำเลยในฐานะผู้ให้เช่าซื้อรถยนต์ซึ่งทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์กับโจทก์ มีหน้าที่ต้องจัดการให้รถยนต์ที่เช่าซื้อนั้นตกเป็นสิทธิแก่โจทก์ ผู้เช่าซื้อเมื่อโจทก์ชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนแล้ว ครั้นโจทก์ชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนแล้ว จำเลยไม่จัดการจดทะเบียนโอนสิทธิให้แก่โจทก์ จึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 55 แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้ทั้งเมื่อพิจารณาตามประกาศคณะกรรมการองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน เรื่องการขอรับชำระหนี้สำหรับเจ้าหนี้และการจัดสรรเงินจากการขายทรัพย์สินให้แก่เจ้าหนี้ ลงวันที่ 2 กุมภาพันธ์2542 เอกสารท้ายคำให้การจำเลยหมายเลข 4 ข้อ 3.2 และข้อ 3.2.1 ตามที่จำเลยฎีกาแล้ว ได้ความว่า เฉพาะเจ้าหนี้ที่ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามประกาศนี้จะต้องตกลงให้ความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรที่จะไม่ฟ้องสถาบันการเงินเป็นจำเลยในคดีแพ่งอันแสดงว่าข้อกำหนดดังกล่าวใช้บังคับเฉพาะเจ้าหนี้ที่ยื่นคำขอรับชำระหนี้เท่านั้นหาตัดสิทธิเจ้าหนี้ของสถาบันการเงินเช่น โจทก์ที่มิได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามประกาศดังกล่าวที่จะฟ้องคดีแพ่งด้วยไม่ อีกทั้งประกาศดังกล่าวก็หาได้กำหนดให้เจ้าหนี้ทุกคนต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ไม่ ดังนั้น โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ที่มิได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้และมิได้ตกลงให้ความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรที่จะไม่ฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่ง ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยลูกหนี้ซึ่งเป็นสถาบันการเงินที่ถูกระงับการดำเนินกิจการโดยคณะกรรมการองค์การเพื่อปฏิรูประบบสถาบันการเงินเป็นคดีแพ่งได้ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน”
พิพากษายืน