แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีนี้จำเลยฟ้องแย้งขอให้แบ่งเงินจำนวน 4,000,000 บาท โดยอ้างว่าเป็นทรัพย์สินที่หามาได้ร่วมกันระหว่างอยู่กินฉันสามีภริยา จึงถือว่าเงินจำนวน 4,000,000 บาท ดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่พิพาทตามฟ้องแย้งของจำเลยที่จำเลยจะมีสิทธิร้องขอให้คุ้มครองประโยชน์ของตนในระหว่างพิจารณาได้ และเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงในชั้นไต่สวนขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เงินจำนวน 4,000,000 บาท ที่พิพาทกันมีการนำไปฝากที่สถาบันการเงินต่าง ๆ ครั้งสุดท้ายนำไปฝากที่บริษัทเงินทุน ส. บริษัทเงินทุนดังกล่าวได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้ในนามของจำเลย ต่อมาเมื่อปี 2546 ได้มีการเปลี่ยนชื่อในตั๋วสัญญาใช้เงินเป็นชื่อของโจทก์ และหลังจากนั้นโจทก์ได้เบิกถอนเงินจำนวน 4,000,000 บาท ดังกล่าว จากบริษัทเงินทุน ส. จากข้อเท็จจริงดังกล่าว หากในที่สุดแล้วศาลพิพากษาให้แบ่งเงินจำนวนดังกล่าวแก่จำเลยกึ่งหนึ่ง จำเลยก็จะได้ประโยชน์จากการที่ศาลมีคำสั่งให้คุ้มครองประโยชน์ตามคำร้องของจำเลย กรณีจึงมีเหตุสมควรที่จะคุ้มครองประโยชน์ของจำเลยในระหว่างพิจารณาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 264
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ซึ่งอยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยโดยมิได้จดทะเบียนสมรสกันฟ้องขอแบ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน จำเลยให้การและฟ้องแย้งให้โจทก์แบ่งเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินแก่จำเลยกึ่งหนึ่ง จำนวน 2,000,000 บาท คดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น
จำเลยยื่นคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาว่า เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2546 โจทก์ได้แอบถอนตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 4,000,000 บาท จากบริษัทเงินทุนสินอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นเงินที่โจทก์และจำเลยหามาได้ร่วมกัน แต่โจทก์ไม่นำเงิน 2,000,000 บาท มอบแก่จำเลยตามส่วนจำเลยกึ่งหนึ่ง เมื่อคดีถึงที่สุดจำเลยอาจจะไม่ได้รับเงินจำนวนดังกล่าว ขอให้ศาลสั่งโจทก์นำเงินจำนวน 2,000,000 บาท มาวางศาล
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า เงินจำนวน 4,000,000 บาท เป็นเงินของบุคคลภายนอกฝากโจทก์ไว้ และโจทก์ได้คืนให้แก่บุคคลภายนอกแล้ว จำเลยไม่มีสิทธิที่จะคุ้มครองประโยชน์ของจำเลยในระหว่างพิจารณา ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลย ค่าคำร้องให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้โจทก์นำเงินจำนวน 2,000,000 บาท มาวางต่อศาลชั้นต้นชั่วคราวภายใน 15 วัน นับแต่วันทราบคำสั่งจนกว่าจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้จำเลยฟ้องแย้งขอให้แบ่งเงิน 4,000,000 บาท โดยอ้างว่าเป็นทรัพย์สินที่หามาได้ร่วมกันระหว่างอยู่กินฉันสามีภริยา จึงถือว่าเงินจำนวน 4,000,000 บาท ดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่พิพาทตามฟ้องแย้งของจำเลยที่จำเลยจะมีสิทธิร้องขอให้คุ้มครองประโยชน์ของตนในระหว่างพิจารณาได้ และเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงในชั้นไต่สวนขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เงินจำนวน 4,000,000 บาท ที่พิพาทกันมีการนำไปฝากที่สถาบันการเงินต่าง ๆ ครั้งสุดท้ายนำไปฝากที่บริษัทเงินทุนสินอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) บริษัทเงินทุนดังกล่าวได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้ในนามของจำเลย ต่อมาเมื่อปี 2546 ได้มีการเปลี่ยนชื่อในตั๋วสัญญาใช้เงินเป็นชื่อของโจทก์ และหลังจากนั้นโจทก์ได้เบิกถอนเงินจำนวน 4,000,000 บาท ดังกล่าว จากบริษัทเงินทุนสินอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) จากข้อเท็จจริงดังกล่าว หากในที่สุดแล้วศาลพิพากษาให้แบ่งเงินจำนวนดังกล่าวแก่จำเลยกึ่งหนึ่ง จำเลยก็จะได้ประโยชน์จากการที่ศาลมีคำสั่งให้คุ้มครองประโยชน์ตามคำร้องของจำเลย กรณีจึงมีเหตุสมควรที่จะคุ้มครองประโยชน์ของจำเลยในระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 ที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งกำหนดวิธีการคุ้มครองโดยให้โจทก์นำเงินจำนวน 2,000,000 บาท มาวางต่อศาลชั้นต้นชั่วคราวจึงชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและชั้นฎีกาให้เป็นพับ.