คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 597/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ที่2เป็นผู้เช่าซื้อรถที่จำเลยรับประกันภัยแม้จะชำระค่าเช่าซื้อยังไม่หมดมิใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์รถทั้งสองคันแต่โจทก์ที่2ในฐานะผู้เช่าซื้อมีสิทธิยึดถือและใช้ประโยชน์ตลอดจนรับผิดในความสูญหายหรือบุบสลายอันเกิดขึ้นแก่รถที่เช่าซื้อและเมื่อชำระเงินครบถ้วนแล้วรถนั้นย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ที่2หรือหากสัญญาเช่าซื้อเลิกกันโจทก์ที่2มีหน้าที่ต้องส่งมอบรถที่เช่าซื้อคืนผู้ให้เช่าซื้อโจทก์ที่2จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในรถทั้งสองคันมีสิทธิทำสัญญาประกันภัยกับจำเลยได้ตามกรมธรรม์ประกันภัยซึ่งมีผลบังคับใช้ในขณะรถที่จำเลยรับประกันภัยสูญหายและในกรมธรรม์ก็มีชื่อตัวชื่อสกุลของโจทก์ที่2ปรากฏอยู่ในช่องผู้เอาประกันภัยแม้จะอยู่ในวงเล็บก็มิได้หมายความว่ามิใช่เป็นผู้เอาประกันภัยประกอบกับโจทก์ที่2เป็นผู้ชำระเบี้ยประกันภัยโจทก์ที่2จึงเป็นคู่สัญญาประกันภัยกับจำเลยมีอำนาจฟ้องจำเลยได้ พยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยต่างก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าผู้ใดเป็นคนร้ายลักรถที่จำเลยรับประกันภัยไปและจนกระทั่งบัดนี้ก็ยังไม่ทราบว่ารถที่จำเลยรับประกันภัยอยู่ที่ใดทั้งว.คนขับรถซึ่งเป็นลูกจ้างโจทก์ที่2ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ตามพฤติการณ์จึงยังฟังไม่ได้ว่าว.ลักรถที่จำเลยรับประกันภัยไปจำเลยเพียงสงสัยว่าว.อาจจะเป็นคนร้ายเท่านั้นดังนี้จำเลยจึงต้องรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าเสียหายและราคารถทั้งสองคันที่จำเลยรับประกันภัยจำนวน 2,598,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ต้องรับผิดใช้ราคารถทั้งสองคันให้แก่โจทก์ เพราะจำเลยไม่ได้รับประกันภัยราคารถ ผู้เอาประกันภัยยังไม่ได้ชำระเบี้ยประกันภัยให้จำเลยสัญญาประกันภัยจึงไม่มีผลบังคับตามกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน 600,000บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ที่ 2 คำขออื่นของโจทก์ที่ 2 ให้ยกและให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 1
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นแทนโจทก์ที่ 2 แต่เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ที่ 2 ชนะคดี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า จำเลยได้ทำสัญญารับประกันภัยรถทั้งสองคันไว้ตามกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ.4 ถึง จ.8 จริง ระหว่างระยะเวลาประกันภัยดังกล่าวปรากฏว่านายวรสันต์ นามแก้ว ซึ่งเป็นลูกจ้างของโจทก์ที่ 2 ได้ขับรถที่จำเลยรับประกันภัยนำสินค้าไปส่งที่จังหวัดฉะเชิงเทราแล้วรถกับนายวรสันต์สูญหายไป คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า โจทก์ที่ 2 มีอำนาจฟ้องหรือไม่ ปัญหาข้อนี้จำเลยฎีกาอ้างว่าโจทก์ที่ 2 มิใช่ผู้เสียหายมิใช่คู่สัญญาประกันภัยกับจำเลยเพราะโจทก์ที่ 2 เพียงมีชื่อในวงเล็บต่อท้ายชื่อของโจทก์ที่ 1 ในช่องผู้เอาประกันภัยเท่านั้นเห็นว่า โจทก์ที่ 2 เป็นผู้เช่าซื้อรถที่จำเลยรับประกันภัยตามสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย ล.1 ล.2 แม้จะชำระค่าเช่าซื้อยังไม่หมดมิใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์รถทั้งสองคัน แต่โจทก์ที่ 2 ในฐานะผู้เช่าซื้อมีสิทธิยึดถือและใช้ประโยชน์ตลอดจนรับผิดในความสูญหายหรือบุบสลายอันเกิดขึ้นแก่รถที่เช่าซื้อ และเมื่อชำระเงินครบถ้วนตามสัญญาเช่าซื้อแล้วรถนั้นย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ที่ 2หรือหากสัญญาเช่าซื้อเลิกกันโจทก์ที่ 2 มีหน้าที่ต้องส่งมอบรถที่เช่าซื้อคืนผู้ให้เช่าซื้อโจทก์ที่ 2 จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในรถทั้งสองคัน มีสิทธิทำสัญญาประกันภัยกับจำเลยได้ตามกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ.5 จ.6 ซึ่งมีผลบังคับใช้ในขณะรถที่จำเลยรับประกันภัยสูญหาย และในกรมธรรม์ก็มีชื่อตัวชื่อสกุลของโจทก์ที่ 2 ปรากฏอยู่ในช่องผู้เอาประกันภัย แม้จะอยู่ในวงเล็บก็มิได้หมายความว่ามิใช่เป็นผู้เอาประกันภัยประกอบกับโจทก์ที่ 2นำสืบว่าโจทก์ที่ 2 เป็นผู้ชำระเบี้ยประกันภัยตามเอกสารหมาย จ.9ซึ่งจำเลยมิได้นำสืบพยานหลักฐานโต้แย้งให้เห็นเป็นอย่างอื่นข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า โจทก์ที่ 2 เป็นผู้เอาประกันภัย โจทก์ที่ 2 จึงเป็นคู่สัญญาประกันภัยกับจำเลย ดังนี้โจทก์ที่ 2 จึงมีอำนาจฟ้อง ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า จำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์ที่ 2หรือไม่ จำเลยฎีกาว่า นายวรสันต์ลูกจ้างของโจทก์ที่ 2 ลักรถที่จำเลยรับประกันภัย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัยนั้น ศาลฎีกาได้พิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยที่นำสืบมาแล้วเห็นว่า พยานของทั้งสองฝ่ายไม่สามารถยืนยันได้ว่าผู้ใดเป็นคนร้ายลักรถที่จำเลยรับประกันภัยไป และจนกระทั่งบัดนี้ก็ยังไม่ทราบว่ารถที่จำเลยรับประกันภัยอยู่ที่ใด และนายวรสันต์ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ตามพฤติการณ์ปรากฏจากทางนำสืบของโจทก์จำเลยข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่า นายวรสันต์ลูกจ้างของโจทก์ที่ 2 ลักรถที่จำเลยรับประกันภัยไป จำเลยเพียงสงสัยว่านายวรสันต์อาจจะเป็นคนร้ายก็ได้เท่านั้น ดังนี้จำเลยจึงต้องรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยรับผิดมานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share