คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5959/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การพิจารณาว่าการกระทำของลูกจ้างทุจริตต่อหน้าที่และเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานในกรณีร้ายแรงหรือไม่ต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่คู่กรณีปฏิบัติต่อกันเป็นเรื่อง ๆ ไป โจทก์ต้องมาทำงานระหว่างเวลา 8 นาฬิกา ถึง 17 นาฬิกา การที่โจทก์ลงเวลาทำงานว่าโจทก์มาทำงานและเลิกงานตามเวลาโดยมีนายท่ารถยนต์โดยสารที่โจทก์ทำงานอยู่นั้นลงชื่อกำกับความถูกต้องทุกวันแสดงว่าจำเลยไม่ได้ถือว่าการลงเวลาทำงานและเลิกงานเป็นสาระสำคัญทั้งไม่ปรากฏว่าโจทก์ถูกหักค่าจ้างจากการที่มาทำงานสายและเลิกงานก่อนเวลา จึงมิใช่เป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานในกรณีร้ายแรงและไม่ถือว่าเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่มีความผิดและไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชย 22,500 บาทสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 3,250 บาท ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม 37,500 บาท ค่าจ้างส่วนที่ค้างเพราะจ่ายต่ำกว่าค่าจ้างขั้นต่ำ 3,060 บาท
จำเลยให้การว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะโจทก์มักมาปฏิบัติหน้าที่สายกว่าเวลาที่กำหนดและเลิกงานกลับบ้านก่อนเวลาที่กำหนดบางครั้งขาดงานติดต่อกันหลายวัน จำเลยเป็นรัฐวิสาหกิจประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจแห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 103 จึงไม่ใช้บังคับแก่จำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้างชั่วคราวตกลงจ่ายค่าจ้างให้โจทก์เป็นรายวัน ไม่ปรากฏว่าหากโจทก์มาสายและกลับก่อนเวลาเลิกงาน การคำนวณค่าจ้างจะต้องหักส่วนที่มาสายและกลับก่อนเวลาออกจากค่าจ้างรายวัน การที่โจทก์ลงเวลาทำงานในใบลงเวลาทำงานมากกว่าที่ทำงานจริงมิใช่เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ โจทก์มีสิทธิได้รับค่าชดเชย แต่การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะโจทก์มาทำงานสายและกลับก่อนเวลาเป็นประจำนั้นมิใช่การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมและจำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยจำนวน22,500 บาท ให้แก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยกเสีย
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยอุทธรณ์ว่าการที่โจทก์ลงเวลาในใบลงเวลาทำงานมากกว่าที่โจทก์ทำงานจริงย่อมก่อให้เกิดความเสียหายแก่นายจ้างอย่างมากมาย การกระทำของลูกจ้างจึงเป็นการทุจริตต่อหน้าที่เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายแก่ตนเองแล้ว และเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานในกรณีร้ายแรง จำเลยจึงเลิกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยได้นั้นเห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางฟังมาจะมีว่าโจทก์ได้ปฏิบัติเช่นนั้นจริง แต่การพิจารณาว่าเป็นการทุจริตต่อหน้าที่หรือไม่และเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานในกรณีร้ายแรงหรือไม่ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายนั้น จะต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่คู่กรณีปฏิบัติต่อกันเป็นเรื่อง ๆ ไป สำหรับคดีนี้ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์จะต้องมาทำงานระหว่างเวลา 8 นาฬิกาถึง 17 นาฬิกา แต่การที่โจทก์ลงเวลาทำงานไว้ในเอกสารหมาย จ.1ว่าโจทก์มาทำงานและเลิกงานตามเวลาโดยมีนายท่ารถยนต์โดยสารที่โจทก์ทำงานอยู่นั้น ลงชื่อกำกับความถูกต้องในช่องหมายเหตุทุกวันแสดงว่าจำเลยไม่ได้ถือว่าการลงเวลามาทำงานและเลิกงานเป็นสาระสำคัญแม้จะลงเวลาไม่ตรงกับความเป็นจริง นายท่ารถยนต์โดยสารก็ลงชื่อกำกับความถูกต้องให้ ไม่ปรากฏว่าโจทก์ถูกหักค่าจ้างจากการที่มาทำงานสายและเลิกงานก่อนเวลาจึงมิใช่เป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานในกรณีร้ายแรงและการกระทำของโจทก์ดังกล่าวก็ไม่ถือว่าเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ดังที่จำเลยอุทธรณ์”
พิพากษายืน

Share