คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5932/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ตามสัญญากู้เอกสารท้ายฟ้องจำนวน 20,200 บาท จำเลยให้การต่อสู้เรื่องสัญญากู้เป็นเอกสารปลอมเป็นประเด็นสำคัญ โดยอ้างเหตุว่าที่เป็นเอกสารปลอมเนื่องจากโจทก์ได้แก้ไขจำนวนเงินในสัญญากู้ฝ่ายเดียว แม้จำเลยจะอ้างในคำให้การ ด้วยว่าจำเลยไม่เคยกู้เงินจากโจทก์ตามฟ้องก็ตาม แต่จำเลยก็หาได้ให้การปฏิเสธโดยชัดแจ้งว่าลายมือชื่อ ในช่องผู้กู้มิใช่ลายมือชื่อของจำเลยไม่ทั้งที่เป็นข้อสาระสำคัญ ที่จำเลยอาจยกขึ้นปฏิเสธในคำให้การได้ จึงเท่ากับจำเลยอ้างเหตุตั้งประเด็นไว้เฉพาะสัญญากู้ตามฟ้องเป็นเอกสารที่ทำปลอมขึ้น บางส่วนเท่านั้น เมื่อจำเลยมิได้ให้การโดยชัดแจ้งว่าลายมือชื่อผู้กู้ในสัญญากู้มิใช่ลายมือชื่อของจำเลยจึงต้องถือว่าจำเลยรับว่าลายมือชื่อในช่องผู้กู้เป็นลายมือชื่อของจำเลย จำเลยย่อมไม่มีประเด็นที่จะนำสืบว่าลายมือชื่อผู้กู้เป็นลายมือชื่อปลอม และที่จำเลยนำสืบว่าได้ชำระเงินกู้ตามสัญญาโดยมีการเวนคืนเอกสารแล้วนั้น จำเลยก็ให้การว่า วันดังกล่าวจำเลยไม่เคยกู้และรับเงินจากโจทก์ หาได้ให้การเป็นประเด็นว่ามีการกู้เงินและชำระเงินกู้คืนแล้วไม่ จำเลยจึงไม่มีประเด็นที่จะนำสืบเช่นเดียวกัน การที่โจทก์แก้ไขจำนวนเงินในสัญญากู้โดยการขีดฆ่าตัวเลขและตัวอักษรจากจำนวน 25,700 บาท เป็นจำนวน20,200 บาท และลงชื่อกำกับไว้เพื่อให้ตรงกับความเป็นจริงไม่น่าจะเกิดความเสียหายแก่จำเลย และคดีนี้โจทก์แก้ไขจำนวนเงินที่กู้ให้ลดลงจากเดิม กลับจะเป็นประโยชน์แก่จำเลย สัญญากู้จึงไม่เป็นเอกสารปลอม และเป็นเอกสารที่สมบูรณ์รับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2531 จำเลยได้กู้ยืมเงินไปจากโจทก์ เป็นเงิน 20,200 บาท ดอกเบี้ยอัตราชั่งละ 1 บาทต่อเดือน โดยมิได้กำหนดเวลาชำระต้นเงินและดอกเบี้ยกันไว้ต่อมาวันที่ 24 พฤษภาคม 2534 โจทก์ได้มีหนังสือบอกกล่าวไปยังจำเลยให้ชำระเงินที่กู้ยืมพร้อมดอกเบี้ยตามที่ตกลงแก่โจทก์ ภายในวันที่ 10 มิถุนายน 2534 เมื่อถึงกำหนดเวลาดังกล่าว จำเลยเพิกเฉยไม่ชำระเงินให้โจทก์ และเมื่อวันที่7 กันยายน 2531 จำเลยได้กู้ยืมเงินไปจากโจทก์เป็นจำนวน 80,000 บาท ตกลงชำระเงินกู้พร้อมดอกเบี้ยคืนโจทก์ภายในวันที่ 7 ตุลาคม 2532 ในวันกู้ยืมเงินดังกล่าวจำเลยได้รับเงินไปครบถ้วนแล้ว ต่อมาเมื่อถึงกำหนดในเวลาใช้เงินจำเลยไม่ชำระเงินกู้พร้อมดอกเบี้ยคืนโจทก์โจทก์ทวงแล้วแต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 29,853 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละสิบห้าต่อปีจากต้นเงิน 20,200 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และชำระเงินจำนวน97,100 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน 80,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยกู้ยืมเงินจำนวนตามฟ้องเป็นเงิน 20,200 บาท ไม่เคยตกลงให้ดอกเบี้ยแก่โจทก์ตามสัญญากู้ท้ายฟ้องมีการแก้ไขจำนวนเงินขึ้นใหม่โดยโจทก์เป็นผู้แก้ไขจำนวนเงินจาก 25,700 บาท เป็น20,200 บาท โจทก์ปลอมแปลงแก้ไขเพิ่มเติมโดยลงชื่อโจทก์กำกับไว้เอกสารสัญญากู้จึงเป็นเอกสารปลอม จำเลยไม่ได้กู้เงินและรับเงินกู้จำนวนดังกล่าวไปจากโจทก์ โจทก์อ้างว่าจำเลยกู้เงินจำนวน 80,000 บาท โดยไม่มีสัญญากู้ยืมเงินจำเลยไม่เคยกู้ยืมเงินและไม่เคยรับเงินกู้จำนวนดังกล่าวไปจากโจทก์ จำเลยไม่เคยได้รับหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้ชำระหนี้จากโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน20,200 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละสิบห้าต่อปีนับแต่วันที่ 6 พฤษภาคม 2531 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าจำเลยได้กู้ยืมเงินจากโจทก์ตามสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1และสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 เป็นเอกสารปลอมหรือไม่คดีนี้โจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ตามสัญญากู้เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1 (เอกสารหมาย จ.1) จำนวน20,200 บาท จำเลยให้การต่อสู้ว่าไม่เคยกู้และรับเงินจำนวน20,200 บาท จากโจทก์ตามฟ้อง สัญญากู้เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1 มีการแก้ไขจำนวนเงินจาก 25,700 บาท มาเป็น20,200 บาท ในภายหลัง โดยโจทก์ลงชื่อกำกับการแก้ไขแต่ฝ่ายเดียว สัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นเอกสารปลอมเห็นว่าจำเลยให้การต่อสู้เรื่องสัญญากู้เป็นเอกสารปลอมเป็นประเด็นสำคัญ โดยอ้างเหตุว่าที่เป็นเอกสารปลอมเนื่องจากโจทก์ได้แก้ไขจำนวนเงินในสัญญากู้ฝ่ายเดียวแม้จำเลยจะอ้างในคำให้การด้วยว่าจำเลยไม่เคยกู้เงินจากโจทก์ตามฟ้องก็ตาม แต่จำเลยก็หาได้ให้การปฏิเสธโดยชัดแจ้งว่าลายมือชื่อในช่องผู้กู้มิใช่ลายมือชื่อของจำเลยไม่ทั้งที่เป็นข้อสาระสำคัญที่จำเลยอาจยกขึ้นปฏิเสธในคำให้การได้จึงเท่ากับจำเลยอ้างเหตุตั้งประเด็นไว้เฉพาะสัญญากู้ตามฟ้องเป็นเอกสารที่ทำปลอมขึ้นบางส่วนเท่านั้นเมื่อจำเลยมิได้ให้การโดยชัดแจ้งว่าลายมือชื่อผู้กู้ในสัญญากู้มิใช่ลายมือชื่อของจำเลยจึงต้องถือว่าจำเลยรับว่าลายมือชื่อในช่องผู้กู้ในเอกสารหมาย จ.1 เป็นลายมือชื่อของจำเลย จำเลยย่อมไม่มีประเด็นที่จะนำสืบว่า ลายมือชื่อผู้กู้เป็นลายมือชื่อปลอมในทำนองเดียวกันที่จำเลยนำสืบว่าเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2531 จำเลยได้กู้เงินโจทก์ตามสัญญากู้เอกสารหมาย ล.1 จำนวน 20,200 บาทได้ชำระคืนโดยมีการเวนคืนเอกสารแล้วนั้น จำเลยก็ให้การว่าวันดังกล่าว จำเลยไม่เคยกู้และรับเงินจากโจทก์ หาได้ให้การเป็นประเด็นว่า มีการกู้เงินและชำระเงินกู้คืนแล้วไม่จำเลยจึงไม่มีประเด็นที่จะนำสืบเช่นเดียวกัน ทั้งได้พิจารณาลายมือชื่อผู้กู้และลายมือชื่อนายเอกสิทธิ์ ใจบุญพยานในสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 และ ล.1 ก็มีลักษณะของตัวอักษรตลอดจนลีลาการเขียนที่คล้ายคลึงกัน และมีสีหมึกเดียวกันด้วย จึงไม่เชื่อว่าจะมีการกู้เงินจำนวนเท่ากันในวันเดียวกันถึงสองครั้ง พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักฟังได้ว่าจำเลยได้กู้เงินไปจากโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.1จริงและจำเลยยังมิได้ชำระต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยคืนแก่โจทก์ส่วนปัญหาว่าการที่โจทก์ทำการแก้ไขโดยการขีดฆ่าตัวเลขและตัวอักษรเกี่ยวกับจำนวนเงินในสัญญากู้เอกสารหมายจ.1 จากจำนวน 25,700 บาท เป็นจำนวน 20,200 บาทและลงชื่อกำกับไว้ฝ่ายเดียว จะเป็นเหตุให้สัญญากู้ฉบับดังกล่าวเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ เห็นว่าการที่โจทก์แก้ไขจำนวนเงินในสัญญากู้เพื่อให้ตรงกับความเป็นจริงจึงไม่น่าจะเกิดความเสียหายแก่จำเลย และสำหรับคดีนี้โจทก์แก้ไขจำนวนเงินที่กู้ให้ลดลงจากเดิมกลับจะเป็นประโยชน์แก่จำเลย สัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 จึงไม่เป็นเอกสารปลอมและเป็นเอกสารที่สมบูรณ์รับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีได้
พิพากษายืน

Share