แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นหนี้ธนาคารผู้คัดค้านอยู่ก่อนแล้ว โดยเบิกเงินเกินบัญชีไป9 แสนบาทเศษ แล้วจำเลยได้กู้เงินธนาคารผู้คัดค้านอีก 5 แสนบาทและจดทะเบียนจำนองเรือยนต์ของจำเลยรวม 47 ลำ ไว้กับธนาคารผู้คัดค้าน เพื่อเป็นประกันสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีซึ่งจำเลยเบิกเกินบัญชีไปดังกล่าวแล้วและเงินที่จำเลยกู้ ต่อมาจำเลยได้จดทะเบียนจำนองเรือยนต์ของจำเลยอีก 2 ลำ ไว้กับธนาคารผู้คัดค้าน เพื่อเป็นประกันการเบิกเงินเกินบัญชีตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีรายใหม่อีก ดังนี้ถือว่าการจำนองเรือยนต์ทั้งสองคราวนั้น เป็นการจำนองโดยมีค่าตอบแทน
ย่อยาว
สาขาคดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยผู้ล้มละลายร้องว่าจำเลยได้จดทะเบียนจำนองเรือยนต์รวม ๔๙ ลำ ไว้กับธนาคารกสิกรไทย จำกัดเป็นการทำจำนองให้โดยเสน่หาและไม่สุจริต ทำให้เจ้าหนี้อื่นเสียเปรียบและธนาคารกสิกรไทย จำกัด ยอมให้จำเลยก่อหนี้ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว ไม่อาจขอรับชำระหนี้ได้ ขอให้เพิกถอนการจำนองเรือยนต์ ๔๙ ลำนั้น
ธนาคารกสิกรไทย จำกัด ผู้คัดค้าน ต่อสู้ปฏิเสธคำร้องของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้ร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เดิมจำเลยผู้ล้มละลายได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีจากธนาคารผู้คัดค้าน ๒ ฉบับฉบับแรกลงวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๐๑ วงเงินไม่เกินห้าแสนบาท อีกฉบับหนึ่งลงวันที่ ๖ เมษายน ๒๕๐๓ วงเงินไม่เกินห้าแสนบาทตามเอกสารหมาย จ.ล.๑๐ และ จ.ล.๑๑ แล้วจำเลยผู้ล้มละลายได้เบิกเงินเกินบัญชีตามสัญญาทั้ง ๒ ฉบับไปจากธนาคารผู้คัดค้านเป็นเงิน ๙๘๑,๘๗๙.๑๖ บาท ต่อมาวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๐๕ จำเลยผู้ล้มละลายได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีจากธนาคารผู้คัดค้านใหม่ โดยรวมวงเงินตามสัญญาหมาย จ.ล.๑๐ และ จ.ล.๑๑เข้าด้วยกัน เป็นวงเงิน ๑ ล้านบาท และให้ถือว่ายอดเงินเบิกเกินบัญชีไป๙๘๑,๘๗๙ บาท ๑๖ สตางค์ เป็นเงินที่เบิกเกินบัญชีตามสัญญาฉบับใหม่นี้ตามเอกสารหมาย ล.๕๓ และในวันเดียวกันนั้นเองจำเลยผู้ล้มละลายได้กู้เงินธนาคารผู้คัดค้านไปอีก ๕ แสนบาท ตามสัญญากู้เงินหมาย ล.๕๖ โดยเอาเรือยนต์ ๔๗ ลำของจำเลยผู้ล้มละลายตามรายชื่อท้ายสัญญาหมาย ล.๕๓จำนองเป็นประกันการเบิกเงินเกินบัญชีและการกู้เงินดังกล่าวแล้ว ตามสัญญาจำนองหมาย ล.๔ ถึง ล.๕๐ ต่อมาเมื่อวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๐๖จำเลยผู้ล้มละลายได้ทำสัญญากู้เบิกเกินบัญชีจากธนาคารผู้คัดค้านอีก๓๕๐,๐๐๐ บาท ตามสัญญาหมาย จ.ล.๑๒ และได้เอาเรือยนต์พลายแก้วกับพลายงามรวม ๒ ลำ จำนองเป็นประกันเงินเบิกเกินบัญชีจำนวนดังกล่าวเป็นเงินลำละ ๑๗๕,๐๐๐ บาท เมื่อวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๗ ตามสัญญาจำนองหมาย ล.๕๑, ล.๕๒ เมื่อเดือนมิถุนายน ๒๕๐๙ จำเลยผู้ล้มละลายได้ทำสัญญาขายกิจการของบริษัทจำเลยรวมทั้งเรือยนต์ทุกลำและที่ดินโฉนดที่ ๖๖๕พร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่บริษัทไทยพัฒนาขนส่ง จำกัด เป็นเงิน ๔,๒๕๐,๐๐๐ บาทได้รับเงินมาแล้วประมาณร้อยละ ๑๐ เงินที่เหลือบริษัทไทยพัฒนาขนส่ง จำกัดยังไม่ชำระจนบัดนี้ หลังจากที่จำเลยผู้ล้มละลายถูกสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้วปรากฏว่าผู้ที่อ้างเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยผู้ล้มละลายร้องขอรับชำระหนี้รวม ๒๙๘ รายเป็นยอดเงินทั้งหมด ๗ ล้านบาท โดยยังมิได้รวมหนี้ของธนาคารผู้คัดค้านเข้าด้วยเฉพาะหนี้ที่มูลหนี้เกิดก่อนวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๐๕ มี ๒๙๗ ราย เป็นเงิน๔,๙๘๙,๗๑๒.๑๖ บาท รวมทั้งหนี้ของนายสุรพันธ์ พิศาลบุตร ซึ่งเป็นประธานกรรมการบริษัทจำเลยผู้ล้มละลายกับเป็นกรรมการธนาคารผู้คัดค้านด้วย ตามเอกสารหมาย จ.๒๔ ถึง จ.๒๙
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยผู้ล้มละลายเป็นหนี้ธนาคารผู้คัดค้านอยู่ก่อนแล้ว โดยเบิกเงินเกินบัญชีไปเป็นเงิน ๙๘๑,๘๗๙.๑๖ บาท การที่จำเลยผู้ล้มละลายได้จำนองเรือ ๔๗ ลำตามสัญญาจำนองหมาย ล.๔ ถึง ล.๕๐เพื่อเป็นประกันสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีหมาย ล.๕๓ ซึ่งรวมยอดเงินที่จำเลยเบิกเกินบัญชีไปแล้ว ๙๘๑,๘๗๙.๑๖ บาท จึงเป็นการจำนองเพื่อประกันหนี้ที่มีอยู่ก่อนการจำนอง ซึ่งเป็นการชอบที่จะกระทำได้ จะถือว่าเป็นการจำนองโดยไม่มีการจ่ายเงินดังโจทก์ฎีกาหาได้ไม่ ส่วนการกู้เงินตามสัญญากู้หมาย ล.๕๖ จำนวน ๕ แสนบาท ธนาคารผู้คัดค้านก็มีหลักฐานว่าธนาคารผู้คัดค้านโดยนายบัญชา ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการอนุมัติให้จำเลยผู้ล้มละลายกู้ตามเอกสารหมาย จ.ล.๗ และได้จ่ายเงินจำนวนนั้นให้จำเลยผู้ล้มละลายไปแล้วตามเช็คลงวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๐๕ หมาย จ.ล.๔ การจำนองเรือยนต์ตามสัญญาจำนองหมาย ล.๔ ถึง ล.๕๑ ก็เพื่อประกันหนี้เงินกู้รายนี้ด้วยส่วนสัญญาจำนองเรือยนต์อีก ๒ ลำ หมาย ล.๕๑ ล.๕๒ ก็เพื่อเป็นประกันการเบิกเงินเกินบัญชีตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีหมาย จ.ล.๑๒ พยานหลักฐานฟังได้แน่ชัดว่าการจำนองเรือยนต์ทั้ง ๔๙ ลำระหว่างจำเลยผู้ล้มละลายกับธนาคารผู้คัดค้าน เป็นการจำนองโดยมีค่าตอบแทน
แล้วศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงต่อไปว่า ขณะมีการจดทะเบียนจำนองเรือยนต์บริษัทจำเลยผู้ล้มละลายยังมีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน ธนาคารผู้คัดค้านได้ปฏิบัติไปตามปกติธุระของกิจการธนาคารโดยสุจริตมิใช่เป็นการสมยอมกันทำให้เจ้าหนี้อื่นเสียเปรียบ พยานผู้ร้องไม่พอฟังว่าธนาคารผู้คัดค้านซึ่งเป็นผู้ได้รับลาภงอกจากสัญญาจำนองรู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้อื่นต้องเสียเปรียบศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว พิพากษายืน