คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5924/2537

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ที่ดินที่ต้องออกเป็นพระราชกฤษฎีกาและประกาศในราชกิจจานุเบกษาก่อนขึ้นทะเบียนเป็นที่สาธารณประโยชน์ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่รกร้างว่างเปล่านั้น จำกัดเฉพาะที่ดินรกร้างว่างเปล่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304(1) เท่านั้น ที่ดินที่ใช้เลี้ยงสัตว์ซึ่งพลเมืองใช้ร่วมกันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตามมาตรา 1304(2) จึงไม่ต้องขึ้นทะเบียนและออกเป็นพระราชกฤษฎีกา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 220, 221 และ 223หมู่ที่ 3 ตำบลป่าแฝก อำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย รวมเนื้อที่ประมาณ 8 ไร่ เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม 2531 จำเลยได้ก่อสร้างอาคารสถานีถ่ายทอดโทรทัศน์ บริเวณข้างเคียงที่ดินโจทก์ แล้วได้จงใจบุกรุกเข้าไปเพื่อแย่งการครอบครองที่ดินโจทก์ทั้งหมดด้วยการก่อสร้างหลักโยงสายเหล็กขึงเสาอากาศ 2 หลัก ในที่ดินโจทก์และทำลายทรัพย์สินของโจทก์โดยฟันต้นประดู่ ต้นตาลและต้นงิ้วรวม 3 ต้นอันเป็นการละเมิด ขอให้ขับไล่จำเลยรื้อถอนหลักโยงสายเหล็กขึงเสาอากาศออกจากที่ดินโจทก์ดังกล่าวถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้โจทก์เป็นผู้รื้อถอนและขนย้ายทรัพย์สินโดยให้จำเลยเป็นผู้ชำระค่าใช้จ่าย ห้ามจำเลยยุ่งเกี่ยวและรบกวนการครอบครองที่ดินของโจทก์ให้จำเลยชำระค่าสินไหมทดแทนจำนวน 2,000 บาท และค่าเสียหายเดือนละ 3,000 บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจำเลยจะออกจากที่ดินโจทก์
จำเลยให้การว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินสาธารณะประจำตำบลเด่นยางอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน จำเลยก่อสร้างอาคารและลงสมอยึดหลักโยงสายเหล็กขึงเสาอากาศในที่พิพาทโดยได้รับอนุญาตจากกระทรวงมหาดไทย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอสังหาริมทรัพย์อันอาจให้เช่าได้ในขณะที่ยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาท ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสอง จึงฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยได้ว่า ที่ดินใดจะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่นั้นเป็นไปตามสภาพของที่ดิน ที่พิพาทเป็นที่ใช้เลี้ยงสัตว์ซึ่งพลเรือนใช้ร่วมกัน ที่พิพาทจึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันโจทก์จะอ้างว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์โดยการครอบครองทำประโยชน์หาได้ไม่ ที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทก่อนที่ทางราชการจะถือเป็นสาธารณะ การที่ทางราชการได้ขึ้นทะเบียนที่พิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์ในภายหลังจึงเป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่า ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า การขึ้นทะเบียนที่พิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์ไม่ชอบ เพราะมิได้มีการออกเป็นพระราชกฤษฎีกาและประกาศในราชกิจจานุเบกษา ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่รกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้น เห็นว่า ที่ดินที่ต้องออกเป็นพระราชกฤษฎีกาและประกาศในราชกิจจานุเบกษาก่อนขึ้นทะเบียนเป็นที่สาธารณประโยชน์ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่รกร้างว่างเปล่านั้น จำกัดเฉพาะที่ดินรกร้างว่างเปล่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304(1)เท่านั้น ที่ดินพิพาทในคดีนี้ฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าเป็นที่ใช้เลี้ยงสัตว์ซึ่งพลเมืองใช้ร่วมกันจึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304(2) ซึ่งไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องขึ้นทะเบียนและออกเป็นพระราชกฤษฎีกาแต่ประการใดฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share