แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 ขายที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2 โดยตกลงเรื่องค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมว่าให้ต่างฝ่ายต่างออกคนละครึ่งตามสัญญาวางมัดจำจะซื้อจะขาย ดังนี้ จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีหน้าที่ต้องรับผิดชำระค่าธรรมเนียมคนละครึ่ง โจทก์จะเรียกให้จำเลยทั้งสองร่วมรับผิดในเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมซื้อขายที่ดินจำนวน 90,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า สัญญาวางเงินมัดจำจะซื้อจะขายที่ดินดังกล่าวก็มีข้อตกลงให้จำเลยทั้งสองรับผิดค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมซื้อขายที่ดินคนละครึ่ง หนี้ค่าธรรมเนียมดังกล่าวจึงเป็นหนี้ที่แบ่งชำระได้ จำเลยทั้งสองมิใช่ลูกหนี้ร่วม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงินคนละ 45,000 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า จำเลยทั้งสองจะต้องร่วมรับผิดในเงินค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมซื้อขายที่ดินต่อโจทก์ตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ค่าธรรมเนียมในการซื้อขายที่ดินนั้น หากผู้ซื้อและผู้ขายมิได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น คู่สัญญาแต่ละฝ่ายก็ต้องปฏิบัติตามมาตรา 457 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งบัญญัติว่า ค่าฤชาธรรมเนียมทำสัญญาซื้อขายนั้น ผู้ซื้อผู้ขายพึงออกใช้เท่ากันทั้งสองฝ่าย อันเป็นการกำหนดหน้าที่ตามกฎหมายในการชำระค่าฤชาธรรมเนียมของคู่สัญญาแต่ละฝ่ายไว้ ซึ่งต้องใช้บังคับแก่คู่สัญญาทุกฝ่ายและผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมด้วย ดังนี้ โจทก์เป็นหน่วยงานของรัฐมีหน้าที่ต้องให้บริการแก่ประชาชน จึงหามีอำนาจกำหนดให้ประชาชนต้องมีหน้าที่เกินกว่าที่กฎหมายบัญญัติไว้ได้ไม่ ส่วนกฎกระทรวง ฉบับที่ 32 (พ.ศ.2522) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 ข้อ 2 (7) (ก) ที่ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม มีทุนทรัพย์เรียกตามจำนวนทุนทรัพย์ร้อยละ 2 ซึ่งใช้อยู่ในขณะมีการจดทะเบียนโอนที่ดินตามฟ้องในคดีนี้นั้นเป็นเพียงให้อำนาจทางราชการที่จะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมมีทุนทรัพย์ในอัตราเท่าใดเท่านั้น โจทก์จะนำมากล่าวอ้างเพื่อให้ประชาชนซึ่งเป็นคู่สัญญาแต่ละฝ่ายต้องมีหน้าที่เกินกว่าที่กฎหมายบัญญัติไว้มิได้ ฉะนั้น เมื่อจำเลยที่ 1 ผู้ขาย ขายที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2 ผู้ซื้อ โดยตกลงเรื่องค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมว่าให้ต่างฝ่ายต่างออกคนละครึ่งตามสัญญาวางมัดจำจะซื้อจะขาย จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงมีหน้าที่ต้องรับผิดชำระค่าธรรมเนียมดังกล่าวคนละครึ่ง โจทก์จะเรียกให้จำเลยทั้งสองต้องร่วมรับผิดในเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวตามฟ้องหาได้ไม่ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน