คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5915/2538

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ตามกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ซึ่งจำเลยที่ 3 ออกให้จำเลยที่ 2 ระบุว่า การคุ้มครองผู้ขับขี่ บริษัทจะถือว่า บุคคลใดซึ่งขับขี่รถยนต์โดยได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัยเสมือนหนึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยเองซึ่งหมายความว่านอกจากรับผิดในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยทำละเมิดต่อผู้อื่นแล้วจำเลยที่ 3 ยอมรับผิดในกรณีที่จำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันภัยมิได้เป็นผู้ทำละเมิดเองแต่ผู้อื่นเป็นผู้ทำละเมิด โดยผู้นั้นได้ขับขี่รถยนต์คันดังกล่าวโดยความยินยอมของจำเลยที่2 ด้วยเมื่อจำเลยที่ 2 ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขับขี่รถยนต์ไปชนรถยนต์โจทก์เสียหาย จำเลยที่ 3 ผู้รับประกันภัยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ตามกรมธรรม์ประกันภัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของรถยนต์แท็กซี่หมายเลขทะเบียน 1 ท – 2577 กรุงเทพมหานคร ได้มอบรถยนต์ดังกล่าวให้จำเลยที่ 1 ขับในฐานะจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนหรือลูกจ้างของจำเลยที่ 2เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ร่วมกัน จำเลยที่ 3 ได้รับประกันภัยรถยนต์ดังกล่าว จากจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2532 เวลาประมาณ1 นาฬิกา ซึ่งอยู่ในระหว่างระยะเวลาประกันภัย จำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์ดังกล่าวโดยประมาทปราศจากความระมัดระวังชนท้ายรถยนต์หมายเลขทะเบียน 1ง-4730 กรุงเทพมหานคร ของโจทก์ ซึ่งจอดไว้ที่ริบขอบถนนรัชดาภิเษกอย่างแรง ทำให้รถยนต์โจทก์พุ่งไปชนท้ายรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 80-4944 สมุทรปราการ เป็นเหตุให้รถยนต์โจทก์เสียหายทั้งด้านหน้าและด้านหลัง หากทำการซ่อมต้องเสียค่าซ่อม 79,800 บาท นอกจากนี้ยังทำให้โจทก์ขาดประโยชน์จากการนำรถออกให้เช่าเดือนละ 6,000 บาท นับแต่วันละเมิดถึงวันฟ้องเป็นเวลา 10 เดือน เป็นเงิน 60,000 บาท รวมเป็นค่าเสียหายทั้งสิ้น 139,800 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินแก่โจทก์ 139,800 บาท และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ในอัตราเดือนละ 6,000 บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าจะได้ซ่อมรถยนต์โจทก์ให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี หรือชำระค่าซ่อมแทนจนครบ
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นลูกจ้างซึ่งกระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 และมิได้เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ไม่ต้องร่วมรับผิดจากการกระทำของจำเลยที่ 1ต่อโจทก์ จำเลยที่ 3 ผู้รับประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน 1 ท-2577กรุงเทพมหานคร จึงไม่ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 80,800 บาท แก่โจทก์ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่3 ร่วมกับจำเลยที่ 1ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จำเลยที่ 3 ฎีกาปัญหาข้อกฎหมายข้อเดียวว่าเมื่อจำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันภัยไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1ต่อโจทก์ จำเลยที่ 3 ในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุน จึงไม่ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์เช่นกัน คดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายศาลฎีกาต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 238 ประกอบมาตรา 247 ซึ่งศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 1 เช่ารถยนต์แท็กซี่คันเกิดเหตุ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์คันดังกล่าวเห็นว่า ตามกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ.5 ซึ่งจำเลยที่ 3ออกให้จำเลยที่ 2 สัญญาหมวดที่ 2 เรื่องการคุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอก ข้อ 2.8 ระบุว่า การคุ้มครองผู้ขับขี่ บริษัทจะถือว่าบุคคลใดซึ่งขับขี่รถยนต์โดยได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัยเสมือนหนึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยเอง ซึ่งหมายความว่านอกจากรับผิดในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยทำละเมิดต่อผู้อื่นแล้วจำเลยที่ 3 ยอมรับผิดในกรณีที่จำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันภัยมิได้เป็นผู้ทำละเมิดเองแต่ผู้อื่นเป็นผู้ทำละเมิด โดยผู้นั้นได้ขับขี่รถยนต์คันที่จำเลยที่ 3 รับประกันภัยไว้โดยความยินยอมของจำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันภัยด้วย เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันภัยยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขับขี่รถยนต์คันเกิดเหตุจำเลยที่ 3 ผู้รับประกันภัยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ตามกรมธรรม์ประกันภัย ฎีกาจำเลยที่ 3 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share