คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5911/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามคำฟ้องเดิมโจทก์ขอให้บังคับจำเลยที่1รับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันการชำระหนี้ของห้างหุ้นส่วนจำกัดจ.ตามสัญญารับมอบสินค้าเชื่อแม้โจทก์กล่าวถึงสัญญาเล็ตเตอร์ออฟเครดิตที่ห้างหุ้นส่วนจำกัดจ.ทำกับโจทก์ก็เป็นเพียงการเท้าความให้เห็นถึงความเป็นมาของสัญญารับมอบสินค้าเชื่อเท่านั้นการที่โจทก์ขอแก้ไขคำฟ้องโดยตัดข้อความที่เกี่ยวกับสัญญาเล็ตเตอร์ออฟเครดิตออกจึงไม่ทำให้ประเด็นแห่งคดีและความรับผิดของจำเลยที่1เปลี่ยนแปลงไปที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องจึงชอบแล้ว โจทก์บรรยายฟ้องว่าในการทำสัญญารับมอบสินค้าเชื่อของห้างหุ้นส่วนจำกัดจ.ที่ทำกับโจทก์มีจำเลยที่1ทำสัญญาค้ำประกันไว้และกล่าวถึงรายละเอียดของสัญญารับมอบสินค้าเชื่อตลอดจนภาระหนี้สินที่ห้างหุ้นส่วนจำกัดจ.และจำเลยที่1จะต้องร่วมกันรับผิดไว้ครบถ้วนคำฟ้องของโจทก์จึงแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้วส่วนรายละเอียดว่าเล็ตเตอร์ออฟเครดิตแต่ละฉบับเลขที่เท่าใดจำนวนเงินเท่าใดและสัญญารับมอบสินค้าเชื่อแต่ละฉบับเกี่ยวกับเล็ตเตอร์ออฟเครดิตฉบับใดนั้นเป็นเรื่องที่โจทก์สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ห้างหุ้นส่วนจำกัดจ. สั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศผู้ขายส่งสินค้ามาประเทศไทยพร้อมกับส่งตั๋วแลกเงินและเอกสารกำกับสินค้าให้แก่ธนาคารตัวแทนของโจทก์ในต่างประเทศเพื่อส่งมาให้โจทก์เรียกเก็บเงินค่าสินค้าจากห้างหุ้นส่วนจำกัดจ.แต่ห้างหุ้นส่วนจำกัดจ.ไม่มีเงินชำระค่าสินค้าจึงทำสัญญารับมอบสินค้าเชื่อหรือทรัสต์รีซีทไว้แก่โจทก์เพื่อขอให้โจทก์มอบเอกสารต่างๆให้จะได้นำไปออกสินค้าจากการท่าเรือแห่งประเทศไทยเพื่อนำไปจำหน่ายและนำเงินค่าสินค้ามาชำระให้โจทก์โดยสัญญาดังกล่าวมีข้อความระบุไว้อย่างชัดแจ้งว่าโจทก์คงเป็นเจ้าของสินค้าและห้างหุ้นส่วนจำกัดจ.จะทำการขายสินค้าในฐานะตัวแทนโจทก์สัญญารับมอบสินค้าเชื่อดังกล่าวจึงเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ในสินค้าไปเป็นของโจทก์เมื่อโจทก์เป็นเจ้าของสินค้าการครอบครองสินค้าของโจทก์จึงไม่ใช่การครอบครองในลักษณะจำนำการที่โจทก์มอบเอกสารกำกับสินค้าให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดจ. เพื่อนำไปออกสินค้าจึงไม่ทำให้หนี้ตามสัญญารับมอบสินค้าเชื่อระงับไป สัญญารับมอบสินค้าเชื่อหรือทรัสต์รีซีทเป็นธุรกิจอันเป็นประเพณีที่ธนาคารพาณิชย์พึงกระทำได้ไม่ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์มาตรา9ทวิ โจทก์ชำระค่าสินค้าแทนห้างหุ้นส่วนจำกัดจ.เมื่อปี2523โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยที่1ชำระค่าสินค้าแทนห้างหุ้นส่วนจำกัดจ. ตามสัญญาค้ำประกันที่จำเลยที่1ทำไว้แก่โจทก์ได้ภายใน10ปีนับแต่วันที่โจทก์ชำระค่าสินค้าซึ่งเป็นเวลาที่โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้โจทก์นำคดีมาฟ้องวันที่26พฤษภาคม2532ยังไม่เกิน10ปีคดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันการชำระหนี้ของห้างหุ้นส่วนจำกัดจรัสสินเพชรบุรี ตามสัญญารับมอบสินค้าเชื่อจำนวน 4 ฉบับจำนวน 4,595,114.55 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ15 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจากต้นเงิน 1,903,671.17 บาท
จำเลยที่ 1 ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์ไม่ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในสินค้าแต่เป็นผู้ทรงสิทธิในใบตราส่งและมีเจตนาที่จะถือเอาสินค้าตามรายการในใบตราส่งเป็นประกัน ถือได้ว่าสินค้าทั้งหมดเป็นทรัพย์จำนำ เมื่อห้างหุ้นส่วนจำกัดจรัสสินเพชรบุรีทำสัญญารับมอบสินค้าเชื่อกับโจทก์ โจทก์ได้สลักหลังและส่งมอบใบตราส่งพร้อมเอกสารอื่น ๆ ให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดจรัสสินเพชรบุรี จึงเท่ากับโจทก์ยอมให้สินค้าเหล่านั้นกลับคืนไปเป็นของห้างหุ้นส่วนจำกัดจรัสสินเพชรบุรีจำนำย่อมระงับสิ้นไป หนี้ตามสัญญารับมอบสินค้าเชื่อจึงระงับตามไปด้วย พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505มาตรา 9 ทวิ ห้ามไม่ให้โจทก์เข้ารับเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในสินค้าใด ๆ แล้วประกอบการค้าสัญญารับมอบสินค้าเชื่อหรือทรัสต์รีซีทที่โจทก์ทำไปดังกล่าวจึงขัดต่อกฎหมาย ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม คดีโจทก์ขาดอายุความและสัญญาค้ำประกันที่จำเลยที่ 1 ทำต่อโจทก์ระงับไปแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ค้ำประกันการขอเปิดเล็ตเตอร์ออฟเครดิตที่มีอยู่กับสาขาเพชรบุรีเท่านั้นต่อมาห้างหุ้นส่วนจำกัดจรัสสินเพชรบุรีมิได้ขอเปิดเล็ตเตอร์ออฟเครดิตกับโจทก์ที่สาขาเพชรบุรีอีก และได้ชำระหนี้ที่มีอยู่เสร็จสิ้นแล้ว จำเลยที่ 2 จึงขอยกเลิกการค้ำประกันแล้วโจทก์คิดดอกเบี้ยค้างชำระเกิน 5 ปี ขาดอายุความแล้วขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นอนุญาตและให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2ออกจากสารบบความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน1,903,672.17 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 313,313.95 บาท นับแต่วันที่30 กันยายน 2526 เป็นต้นไป อัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 536,000.34 บาท นับแต่วันที่29 เมษายน 2523 เป็นต้นไป อัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 345,242.55 บาท นับแต่วันที่ 11 มิถุนายน 2523เป็นต้นไป และอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน709,115.33 บาท นับแต่วันที่ 9 กรกฎาคม 2523 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำพิพากษาและอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 1,681,158.80 บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงินจำนวน 90,800.58 บาทจำนวน 536,000.34 บาท จำนวน 345,242.55 บาท และจำนวน 709,115.33 บาท นับแต่วันที่ 30 กันยายน 2536วันที่ 29 เมษายน 2523 วันที่ 11 มิถุนายน 2523 และวันที่ 9 กรกฎาคม 2523 ตามลำดับ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ฎีกาข้อแรกว่าการแก้ไขคำฟ้องของโจทก์เป็นการสละข้อหาตามคำฟ้องเดิมที่ตั้งข้อหาตามสัญญาเล็ตเตอร์ออฟเครดิตระหว่างโจทก์กับห้างหุ้นส่วนจำกัดจรัสสินเพชรบุรี ซึ่งมีสัญญารับมอบสินค้าเชื่อเป็นสัญญาอุปกรณ์ที่เกิดขึ้นเนื่องจากสัญญาเล็ตเตอร์ออฟเครดิตอันเป็นสัญญาประธานโดยมีจำเลยที่ 1 เป็นผู้ค้ำประกันเฉพาะหนี้ตามสัญญาประธานแล้วยกขึ้นหาตามสัญญารับมอบสินค้าเชื่อขึ้นโดยปราศจากสัญญาประธาน ข้อหาตามสัญญาค้ำประกันที่โจทก์ขอให้บังคับแก่จำเลยที่ 1 จึงไม่เหลืออยู่ ทั้งคำฟ้องเดิมกับคำฟ้องภายหลังไม่เกี่ยวข้องกัน ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องจึงไม่ชอบ เห็นว่า ตามคำฟ้องเดิมโจทก์ได้บรรยายฟ้องว่าห้างหุ้นส่วนจำกัดจรัสสินเพชรบุรีทำความตกลงกับโจทก์เพื่อทำสัญญาเล็ตเตอร์ออฟเครดิตจำนวน 4 ฉบับ เพื่อสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศและโจทก์เปิดเล็ตเตอร์ออฟเครดิตดังกล่าวเพื่อสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศแล้ว เมื่อสินค้าที่สั่งซื้อส่งมาถึงประเทศไทย โจทก์เรียกเก็บเงินจากห้างหุ้นส่วนจรัสสินเพชรบุรี ห้างหุ้นส่วนจำกัดจรัสสินเพชรบุรีไม่มีเงินค่าสินค้ามาชำระให้โจทก์ จึงได้ทำสัญญารับมอบสินค้าเชื่อกับโจทก์รวม 4 ฉบับ เพื่อขอรับเอกสารนำไปออกสินค้าและทำการจำหน่ายก่อนแล้วจึงนำเงินมาชำระให้โจทก์ ซึ่งในการทำสัญญารับมอบสินค้าเชื่อดังกล่าวนั้น จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้ของห้างหุ้นส่วนจำกัดจรัสสินเพชรบุรีไว้แก่โจทก์เมื่อห้างหุ้นส่วนจำกัดจรัสสินเพชรบุรีรับสินค้าไปแล้วก็มิได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ห้างหุ้นส่วนจำกัดจรัสสินเพชรบุรีเป็นหนี้โจทก์ตามสัญญารับมอบสินค้าเชื่อ 4 ฉบับ เป็นเงิน4,595,114.55 บาท ซึ่งจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ค้ำประกันต้องร่วมรับผิดด้วย ดังนี้ ตามคำฟ้องเดิมของโจทก์เป็นเรื่องที่โจทก์ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 รับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันการชำระหนี้ของห้างหุ้นส่วนจำกัดจรัสสินเพชรบุรีตามสัญญารับมอบสินค้าเชื่อ ส่วนการที่โจทก์กล่าวถึงสัญญาเล็ตเตอร์ออฟเครดิตเป็นเพียงการเท้าความให้เห็นถึงความเป็นมาของสัญญารับมอบสินค้าเชื่อเท่านั้นหาใช่กรณีที่สัญญาเล็ตเตอร์ออฟเครดิตเป็นสัญญาประธานสัญญารับมอบสินค้าเชื่อเป็นสัญญาอุปกรณ์และโจทก์ประสงค์จะบังคับตามสัญญาเล็ตเตอร์ออฟเครดิตตามที่จำเลยที่ 1 กล่าวอ้างแต่อย่างใดไม่ การที่โจทก์ขอแก้คำฟ้องโดยตัดข้อความที่เกี่ยวกับสัญญาเล็ตเตอร์ออฟเครดิตออกจึงเป็นการแก้ไขคำฟ้องที่มิได้ทำให้ประเด็นแห่งคดีและความรับผิดของจำเลยที่ 1 เปลี่ยนแปลงไป และไม่ใช่กรณียกข้อหาตามสัญญารับมอบสินค้าเชื่อขึ้นใหม่ซึ่งไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมตามที่จำเลยที่ 1 ฎีกา ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องจึงชอบแล้ว
จำเลยที่ 1 ฎีกาต่อไปว่า ฟ้องโจทก์ไม่ชอบเพราะมิได้บรรยายฟ้องว่าห้างหุ้นส่วนจำกัดจรัสสินเพชรบุรีขออนุมัติจากโจทก์ให้เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตฉบับเลขที่เท่าใดจำนวนเงินเท่าใด และตามสัญญารับมอบสินค้าเชื่อตามฟ้องแต่ละฉบับ ห้างหุ้นส่วนจำกัดจรัสสินเพชรบุรีทำให้โจทก์ไว้เกี่ยวกับเล็ตเตอร์ออฟเครดิตฉบับใด เห็นว่าโจทก์บรรยายฟ้องว่าในการทำสัญญารับมอบสินค้าเชื่อของห้างหุ้นส่วนจำกัดจรัสสินเพชรบุรีที่ทำกับโจทก์มีจำเลยที่ 1 ทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้ของห้างหุ้นส่วนจำกัดจรัสสินเพชรบุรีไว้แก่โจทก์ด้วยตามสัญญาค้ำประกันเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 และกล่าวถึงรายละเอียดของสัญญารับมอบสินค้าเชื่อตลอดจนภาระหนี้สินที่ห้างหุ้นส่วนจำกัดจรัสสินเพชรบุรีและจำเลยที่ 1 จะต้องร่วมกันรับผิดตามสัญญาดังกล่าวแต่ละฉบับไว้ครบถ้วนดังนี้ คำฟ้องของโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ เป็นเรื่องที่โจทก์สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณาฟ้องโจทก์จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง
จำเลยที่ 1 ฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะกรรมสิทธิ์ในสินค้าเป็นของห้างหุ้นส่วนจำกัดจรัสสินเพชรบุรี ก่อนห้างหุ้นส่วนจำกัดจรัสสินเพชรบุรีทำสัญญารับมอบสินค้าเชื่อโจทก์ได้เข้าครอบครองสินค้าเหล่านั้นในลักษณะของการจำนำ เมื่อโจทก์ยอมให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดจรัสสินเพชรบุรีทำสัญญารับมอบสินค้าเชื่อก็เท่ากับโจทก์ยอมปล่อยการครอบครองในสินค้าให้กลับคืนสู่ห้างหุ้นส่วนจำกัดจรัสสินเพชรบุรีเจ้าของสินค้าผู้จำนำการจำนำย่อมระงับไป หนี้ตามสัญญารับมอบสินค้าเชื่อจึงระงับไปด้วย เห็นว่า ตามสัญญารับมอบสินค้าเชื่อ(ทรัสต์รีซีท) เอกสารหมาย จ.3 จ.6 จ.9 และ จ.12 มีข้อความระบุว่าห้างหุ้นส่วนจำกัดจรัสสินเพชรบุรียอมรับอย่างชัดแจ้งว่าโจทก์คงเป็นเจ้าของสินค้าดังกล่าว และรับว่าจะทำการขายสินค้าดังกล่าวในฐานะตัวแทนโจทก์ ซึ่งข้อนี้โจทก์ได้นำสืบอธิบายว่า ห้างหุ้นส่วนจำกัดจรัสสินเพชรบุรีสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศ และผู้ขายได้ส่งสินค้ามาประเทศไทยพร้อมทั้งส่งตั๋วแลกเงินกับเอกสารกำกับสินค้าให้แก่ธนาคารตัวแทนของโจทก์ในต่างประเทศเพื่อส่งมาให้โจทก์เรียกเก็บเงินค่าสินค้าจากห้างหุ้นส่วนจำกัดจรัสสินเพชรบุรีแต่ห้างหุ้นส่วนจำกัดจรัสสินเพชรบุรีไม่มีเงินชำระ ค่าสินค้าจึงทำสัญญารับมอบสินค้าเชื่อไว้แก่โจทก์เพื่อขอให้โจทก์มอบเอกสารต่าง ๆ ให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดจรัสสินเพชรบุรีนำไปออกสินค้าจากการท่าเรือแห่งประเทศไทย เพื่อนำไปจำหน่ายและจะได้นำเงินไปชำระให้โจทก์จำเลยที่ 1 มิได้นำสืบหักล้าง ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า การทำสัญญารับมอบสินค้าเชื่อดังกล่าวเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ในสินค้าไปเป็นของโจทก์ โจทก์เป็นเจ้าของสินค้า การครอบครองสินค้าของโจทก์จึงไม่ใช่การครอบครองในลักษณะจำนำการที่โจทก์มอบเอกสารกำกับสินค้าให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดจรัสสินเพชรบุรีเพื่อนำไปออกสินค้าจึงไม่ทำให้หนี้ ตามสัญญารับมอบสินค้าเชื่อระงับไป
ส่วนที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า โจทก์ไม่อาจมีกรรมสิทธิ์ในสินค้าได้เพราะการทำสัญญารับมอบสินค้าเชื่อต้องห้ามตามพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505มาตรา 9 ทวิ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2522 ข้อนี้พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.2505 มาตรา 9 ทวิบัญญัติให้ธนาคารพาณิชย์กระทำธุรกิจที่เกี่ยวกับหรือเนื่องจากการธนาคารพาณิชย์หรือธุรกิจอันเป็นประเพณีที่ธนาคารพาณิชย์พึงกระทำ เช่นการออกเล็ตเตอร์ออกเครดิตการค้ำประกันหรือธุรกิจทำนองเดียวกันได้ ซึ่งนายสุทัศน์ จิตพรพินิจ เจ้าหน้าที่ของโจทก์ตำแหน่งพนักงานต่างประเทศเบิกความว่า ห้างหุ้นส่วนจำกัดจรัสสินเพชรบุรีขอวงเงินเปิดเล็ตเตอร์ออฟเครดิตและทำสัญญารับมอบสินค้าเชื่อกับโจทก์ โดยตกลงว่าจะทำตามระเบียบและประเพณีของธนาคารพาณิชย์ทุกประการ จำเลยที่ 1 มิได้นำสืบให้เห็นว่าสัญญารับมอบสินค้าเชื่อไม่ใช่ธุรกิจอันเป็นประเพณีที่ธนาคารพาณิชย์พึงกระทำ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า การทำสัญญารับมอบสินค้าเชื่อเป็นธุรกิจอันเป็นประเพณีที่ธนาคารพาณิชย์พึงกระทำอย่างหนึ่งจึงไม่เป็นการต้องห้ามตามที่จำเลยที่ 1 ฎีกา
จำเลยที่ 1 ฎีกาต่อไปว่า สัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.1จำเลยที่ 1 ทำขึ้นเพื่อค้ำประกันการทำสัญญาเปิดเล็ตเตอร์ออฟเครดิตและสัญญารับมอบสินค้าเชื่อเฉพาะที่ธนาคารโจทก์ สาขาเพชรบุรีเท่านั้น ซึ่งห้างหุ้นส่วนจำกัดจรัสสินเพชรบุรีก็ได้ขอเปิดเล็ตเตอร์ออฟเครดิตและทำสัญญารับมอบสินค้าเชื่อรวม 3 ครั้ง และชำระหนี้ครบถ้วนแล้ว หลังจากนั้นไม่มีการขอเปิดเล็ตเตอร์ออฟเครดิตอีก สาขาเพชรบุรีของโจทก์จึงรายงานสำนักงานใหญ่ ขอให้ระงับการเปิดเล็ตเตอร์ออฟเครดิตตามเอกสารหมาย ล.12 จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดอีกต่อไปส่วนสัญญารับมอบ สินค้าเชื่อตามเอกสารหมาย จ.3 จ.6 จ.9และ จ.12 จำเลยที่ 1 ไม่ได้ตกลงค้ำประกันด้วย จึงไม่ต้องรับผิดตามฟ้องนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ค้ำประกันการชำระหนี้ของห้างหุ้นส่วนจำกัดจรัสสินเพชรบุรีตามสัญญารับมอบสินค้าเชื่อเอกสารหมาย จ.3จ.6 จ.9 และ จ.12 ด้วย จำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมกับห้างหุ้นส่วนจำกัดจรัสสินเพชรบุรีรับผิดในหนี้ดังกล่าวต่อโจทก์
จำเลยที่ 1 ฎีกาข้อสุดท้ายว่า คดีโจทก์ขาดอายุความเพราะโจทก์ไม่นำสืบข้อเท็จจริงว่าคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความทั้งที่โจทก์มีภาระการพิสูจน์และเอกสารหมาย จ.1 ทำขึ้นเมื่อวันที่21 กันยายน 2521 โจทก์นำคดีมาฟ้องวันที่ 26 พฤษภาคม 2532เกิน 10 ปี เห็นว่า ตามสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.1 ข้อ 2มีข้อความว่าสัญญาค้ำประกันให้มีผลบังคับได้ตลอดไปนับแต่วันที่ที่ลงในสัญญาฉบับนี้ จนกว่าจะได้มีการชำระหนี้กันเสร็จสิ้นและเลิกสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้รายนี้ต่อกันแล้วซึ่งโจทก์นำสืบโดยอ้างสัญญารับมอบสินค้าเชื่อตลอดจนเอกสารต่าง ๆ ตามเอกสารหมาย จ.3 ถึง จ.13ที่โจทก์ได้ชำระค่าสินค้าแทนห้างหุ้นส่วนจำกัดจรัสสินเพชรบุรีไปเมื่อปี 2523 ฉะนั้นเมื่อนับตั้งแต่ปี 2523 ซึ่งเป็นเวลาที่โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้จนถึงวันฟ้องยังไม่ล่วงพ้นกำหนด10 ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
พิพากษายืน

Share