แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยร่วมที่ 1 และที่ 2 ปลูกสร้างบ้านรุกล้ำที่ดินของโจทก์โดยไม่สุจริต จำเลยร่วมที่ 1 และที่ 2 จึงต้องทำที่ดินให้เป็นตามเดิมแล้วส่งคืนเจ้าของ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1311 และจำเลยผู้สืบสิทธิของเจ้าของเดิมผู้ปลูกสร้างบ้านโดยไม่สุจริตย่อมไม่ได้รับความคุ้มครอง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1312 เช่นกัน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 188822 ด้านทิศตะวันออกติดกับที่ดินของจำเลยโฉนดเลขที่ 210002 มีบ้านเลขที่ 115/21 หมู่ที่ 11 ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยปลูกสร้างอยู่และรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์เป็นเนื้อที่ประมาณ 2 ถึง 4 ตารางเมตร โจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนส่วนที่รุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์แล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนบ้านเลขที่ 115/21 หมู่ที่ 11ส่วนที่รุกล้ำเข้ามาในที่ดินโฉนดเลขที่ 188822 ของโจทก์และทำที่ดินให้กลับคืนสู่สภาพเดิม โดยให้จำเลยออกค่าใช้จ่ายหากจำเลยไม่รื้อถอน ให้โจทก์มีสิทธิรื้อถอน โดยให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยมิได้ปลูกสร้างบ้านรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ ที่ดินและบ้านตามฟ้อง จำเลยซื้อจากบริษัทอมรทรัพย์ จำกัด และห้างหุ้นส่วน จำกัดธนารักษ์ก่อสร้าง จำเลยไม่มีส่วนรู้เห็นในการปลูกสร้างบ้านรุกล้ำที่ดินของโจทก์ จำเลยซื้อบ้านและที่ดินมาโดยสุจริตหากบ้านที่ปลูกสร้างมีการรุกล้ำก็มีเนื้อที่เพียงเล็กน้อยไม่ถึงจำนวนเนื้อที่ตามฟ้องโจทก์ และการรุกล้ำเป็นไปด้วยความสุจริต จำเลยจึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์บ้านส่วนที่รุกล้ำ โจทก์มีหน้าที่ต้องจดทะเบียนภารจำยอมที่ดินส่วนที่รุกล้ำให้แก่จำเลย ขอให้ยกฟ้อง และให้โจทก์ขอจดทะเบียนให้ที่ดินตามโฉนดเลขที่ 188822 เนื้อที่ 1 ถึง 4 ตารางเมตรที่บ้านของจำเลยปลูกสร้างอยู่ตกเป็นภารจำยอมของที่ดินโฉนดเลขที่ 210002 และบ้านเลขที่ 115/21 หมู่ที่ 11ของจำเลย หากโจทก์ไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ผู้ปลูกสร้างบ้านดังกล่าวไม่สุจริตเพราะรู้ถึงเหตุแห่งการรุกล้ำนั้น ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเรียกบริษัทอมรทรัพย์ จำกัด และห้างหุ้นส่วนจำกัดธนารักษ์ก่อสร้าง เข้าเป็นจำเลยร่วมที่ 1 และจำเลยร่วมที่ 2 ตามลำดับตามคำร้องของจำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(3)
จำเลยร่วมที่ 1 ให้การว่า บ้านเลขที่ 115/21หมู่ที่ 11 มิได้ปลูกสร้างรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์และจำเลยร่วมที่ 1 มิได้เป็นผู้ปลูกสร้างบ้านดังกล่าวจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ หากรุกล้ำเป็นการกระทำโดยสุจริตและมีเนื้อที่ไม่เกิน 1 ตารางเมตร ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยร่วมที่ 2 ให้การว่า จำเลยร่วมที่ 2 ไม่มีนิติสัมพันธ์กับจำเลย จึงไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลย จำเลยร่วมที่ 2 เป็นผู้ปลูกสร้างบ้านเลขที่ 115/21 หมู่ที่ 11 โดยรับจ้างจากพันเอกสามารถ พรหมปฏิมา และมิได้ปลูกสร้างรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ จำเลยร่วมที่ 2 ปลูกสร้างบ้านโดยสุจริตตามที่มารดาโจทก์นำชี้แนวเขต และหากมีการรุกล้ำก็เป็นเนื้อที่เล็กน้อยไม่เกิน 1 ตารางเมตร จำเลยร่วมที่ 2 ทำการปลูกสร้างโดยสุจริตไม่รู้ถึงเหตุแห่งการรุกล้ำ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยร่วมทั้งสองขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและจำเลยร่วมทั้งสองร่วมกันรื้อถอนบ้านเลขที่ 115/21 หมู่ที่ 11 ส่วนที่รุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 210002 ให้กลับคืนสู่สภาพเดิมให้จำเลยและจำเลยร่วมทั้งสองร่วมกันออกค่าใช้จ่าย และให้ยกฟ้องแย้ง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยและจำเลยร่วมทั้งสองร่วมกันรื้อถอนบ้านเลขที่ 115/21 หมู่ที่ 11 ส่วนที่รุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 188822 ให้กลับคืนสู่สภาพเดิมนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่ไม่โต้เถียงกันฟังเป็นยุติว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 188822 เนื้อที่5 ไร่ 3 ตารางวา จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 210002เนื้อที่ 28 ตารางวา พร้อมบ้านเลขที่ 115/21 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าว ที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศตะวันออกติดกับที่ดินของจำเลย ที่ดินและบ้านของจำเลยเดิมเป็นของจำเลยร่วมที่ 1โดยจำเลยร่วมที่ 2 เป็นผู้ปลูกสร้าง จำเลยซื้อที่ดินและบ้านมาจากจำเลยร่วมที่ 1 เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2534 ส่วนที่ดินของโจทก์นั้น โจทก์ได้รับโอนกรรมสิทธิ์โดยทางมรดก เมื่อวันที่2 มีนาคม 2532 เดิมที่ดินของโจทก์และจำเลยเป็นที่ดินแปลงเดียวกัน ต่อมาจำเลยร่วมที่ 1 ได้ซื้อที่ดินบางส่วนของนางละออง สุวรรณน้อย มารดาโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของบิดาโจทก์ หลังจากจำเลยร่วมที่ 1 ซื้อที่ดินบางส่วนจากนางละอองแล้ว จำเลยร่วมที่ 1 ได้แบ่งแยกโฉนดที่ดินออกเป็นแปลงย่อยเพื่อจัดสรรที่ดินและบ้านขายให้แก่บุคคลทั่วไป และจำเลยได้ซื้อที่ดินและบ้านมาจากจำเลยร่วมที่ 1 ดังกล่าวข้างต้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่าบ้านเลขที่ 115/21 ของจำเลยรุกล้ำที่ดินของโจทก์หรือไม่เพียงใด จำเลยฎีกาว่า โจทก์นำสืบไม่ได้แน่ชัดว่าบ้านปลูกรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์เพราะไม่มีการรังวัดสอบเขตที่ดินให้แน่นอน ควรต้องยกฟ้องนั้น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า บ้านของจำเลยได้ปลูกรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์จริง
ที่จำเลยฎีกาประการต่อไปว่า หากฟังว่าบ้านของจำเลยปลูกรุกล้ำที่ดินของโจทก์ก็เป็นการปลูกรุกล้ำโดยสุจริต จำเลยไม่ทราบเหตุแห่งการรุกล้ำมาก่อน ย่อมต้องถือว่าจำเลยเป็นผู้สุจริต ชอบที่จะได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1312 นั้น เห็นว่าศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัย โดยให้เหตุผลไว้อย่างละเอียดแล้วว่าจำเลยร่วมที่ 1 และที่ 2 ปลูกสร้างบ้านรุกล้ำที่ดินของโจทก์โดยไม่สุจริต ต้องทำที่ดินให้เป็นตามเดิมแล้วส่งคืนเจ้าของตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1311 จำเลยผู้สืบสิทธิของเจ้าของเดิมผู้ปลูกสร้างบ้านโดยไม่สุจริต จึงไม่ได้รับความคุ้มครอง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1312
พิพากษายืน