คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 590/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์มีหนังสือขอเบิกเงินค่าปรับราคาตามสัญญาจ้างเหมาไปยังจำเลย จำเลยได้มีหนังสือตอบโจทก์แจ้งว่า ยังไม่อาจพิจารณาค่าปรับราคาได้จนกว่าจะได้มีการแยกรายละเอียดราคาแต่ละประเภทงานซึ่งขณะนี้จำเลยกำลังดำเนินการอยู่ เมื่อทราบผลแล้วจะได้รีบพิจารณาค่าปรับราคาให้โจทก์ต่อไป ข้อความตามหนังสือของจำเลยดังกล่าวเท่ากับยอมรับว่าโจทก์มีสิทธิได้รับเงินค่าปรับราคาตามสัญญาจ้างเหมาจริง เป็นการยอมรับสภาพตามสิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่มีต่อจำเลยแล้ว อายุความเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องของโจทก์ย่อมสะดุดหยุดลงตั้งแต่วันที่โจทก์ได้รับหนังสือของจำเลย การที่อายุความสะดุดหยุดลงในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2523อันเป็นวันที่โจทก์ได้รับหนังสือรับสภาพหนี้ของจำเลย แล้วต่อมาจำเลยมีหนังสือแจ้งโจทก์ว่า ไม่สามารถจ่ายเงินค่าปรับราคาตามสัญญาให้โจทก์ได้เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2524 นั้น เหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงจึงได้สิ้นสุดและเริ่มนับขึ้นใหม่ตั้งแต่วันที่12 พฤศจิกายน 2524 เป็นต้นไป ดังนี้ เมื่อสัญญาระหว่างโจทก์จำเลยเป็นสัญญาจ้างทำของอันมีอายุความ 2 ปี การที่โจทก์มาฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2525 ฟ้องโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ กรณีที่จำเลยยกอายุความขึ้นต่อสู้โจทก์ ศาลย่อมมีอำนาจวินิจฉัยได้ว่าจำเลยรับสภาพหนี้เป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลง และคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ หาเป็นการนอกฟ้องนอกประเด็นไม่ เมื่อจำเลยมีหน้าที่ต้องจ่ายเงินค่าปรับราคาให้โจทก์ตามสัญญาจำเลยจะอ้างว่าสัญญาดังกล่าวไม่ได้แยกรายละเอียดประเภทของงานไว้จำเป็นต้องแก้ไขสัญญาเดิม แต่ไม่ได้รับอนุมัติให้แก้ไขสัญญา เพราะการแก้ไขเป็นเหตุให้จำเลยต้องเสียประโยชน์อันเป็นการผิดระเบียบของจำเลยซึ่งเป็นเรื่องภายในของจำเลย มาใช้ยันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกเพื่อไม่ต้องรับผิดหาได้ไม่ ศาลอุทธรณ์ฟังว่าโจทก์ควรได้รับค่าปรับราคาตามสัญญาเป็นเงิน2,458,000 บาท จำเลยมิได้ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในเรื่องนี้ว่าไม่ถูกต้องแต่อย่างไร คงฎีกาว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับเงินดังกล่าว และคดีโจทก์ขาดอายุความแล้วเท่านั้น โจทก์จึงควรได้เงินค่าปรับราคาตามที่ศาลอุทธรณ์รับฟังมา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินค่าปรับราคาวัสดุก่อสร้างตามสัญญาเป็นเงิน 2,458,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับเงินค่าปรับราคาจากจำเลย และคดีของโจทก์ขาดอายุความขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คดีโจทก์ขาดอายุความพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินค่าปรับราคาวัสดุก่อสร้างตามสัญญาเป็นเงิน 2,458,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาข้อแรกมีว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่เห็นว่าสิทธิเรียกร้องตามสัญญาจ้างทำของดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(1) มีกำหนดอายุความ2 ปี อายุความ 2 ปีนี้เริ่มนับแต่ขณะที่จะอาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป คดีนี้โจทก์ส่งมอบงานงวดสุดท้ายให้จำเลยรับไปเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2522 ซึ่งเป็นวันที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้หลังจากนั้นโจทก์ได้มีหนังสือเอกสารหมาย จ.2, จ.3 และ จ.4ขอเบิกเงินค่าปรับราคาตามสัญญาจ้างเหมา (แบบปรับราคา) เอกสารหมายจ.1 ไปยังจำเลย ปรากฏว่าเมื่อได้รับหนังสือทั้งสามฉบับของโจทก์แล้วจำเลยได้มีหนังสือเอกสารหมาย จ.5 ลงวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2523ถึงโจทก์แจ้งว่า ยังไม่อาจพิจารณาค่าปรับราคาได้จนกว่าจะได้มีการแยกรายละเอียดราคาแต่ละประเภทงาน ซึ่งขณะนี้จำเลยกำลังพิจารณาดำเนินการอยู่ เมื่อทราบผลการแยกรายละเอียดราคาดังกล่าวแล้วจะได้รับพิจารณาค่าปรับราคาให้โจทก์โดยด่วนต่อไป ข้อความตามหนังสือของจำเลยดังกล่าวเท่ากับยอมรับว่าโจทก์มีสิทธิได้รับเงินค่าปรับราคาตามสัญญาจ้างเหมาจากจำเลยจริง เป็นการยอมรับสภาพตามสิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่มีต่อจำเลย อายุความเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องของโจทก์ย่อมสะดุดหยุดลงตั้งแต่วันที่โจทก์ได้รับหนังสือเอกสารหมาย จ.5 ลงวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2523 ต่อมาเมื่อวันที่ 12พฤศจิกายน 2524 จำเลยได้มีหนังสือเอกสารหมาย จ.7 แจ้งให้โจทก์ทราบว่าไม่สามารถจะจ่ายเงินค่าปรับราคาตามสัญญาให้โจทก์ได้เหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงได้สิ้นสุดแต่เวลานั้น อายุความจึงเริ่มนับขึ้นใหม่ตั้งแต่วันที่ 12 พฤศจิกายน 2524 เป็นต้นไปโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2525 ยังไม่เกิน 2 ปีฟ้องของโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ และเห็นว่ากรณีนี้จำเลยยกอายุความขึ้นต่อสู้ฟ้องโจทก์ ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจวินิจฉัยว่าจำเลยได้รับสภาพหนี้เป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลง และคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความได้ ไม่เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็น ส่วนข้อที่จำเลยฎีกาว่าผู้ที่ลงชื่อในเอกสารหมาย จ.5 ไม่ใช่ตัวแทนหรือผู้ที่มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ (ที่ถูกจำเลย) นั้น เห็นว่าจำเลยรับมาในคำให้การว่า เจ้าหน้าที่ของจำเลยได้ทำหนังสือดังกล่าวถึงโจทก์ ฎีกาจำเลยข้อนี้จึงฟังไม่ขึ้น
ปัญหาข้อต่อไปมีว่า จำเลยผิดสัญญาหรือไม่ เห็นว่าจำเลยได้ทำสัญญาจ้างเหมาแบบปรับราคาเอกสารหมาย จ.1 กับโจทก์ เมื่อโจทก์ทำงานและส่งมอบงานให้จำเลยถูกต้องแล้ว และโจทก์มีสิทธิได้รับเงินค่าปรับราคาจากจำเลยดังได้วินิจฉัยในปัญหาข้อแรกจำเลยก็มีหน้าที่ต้องจ่ายเงินนั้นให้โจทก์ตามสัญญา จำเลยจะอ้างว่าสัญญาเอกสารหมาย จ.1 ไม่ได้แยกรายละเอียดประเภทของงานไว้จำเป็นต้องแก้ไขสัญญาเดิม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยไม่อนุมัติให้แก้ไขสัญญาแยกค่าของงานเพราะการแก้ไขสัญญาเป็นเหตุให้กรุงเทพมหานครเสียประโยชน์ เป็นการผิดระเบียบกรุงเทพมหานครว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2522 ข้อ 61 ซึ่งเป็นเรื่องภายในของจำเลยมาใช้ยันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกเพื่อไม่ต้องรับผิดไม่ได้ จำเลยจึงต้องจ่ายเงินค่าปรับราคาให้โจทก์ตามสัญญา เมื่อจำเลยไม่ยอมจ่าย จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา
ปัญหาข้อสุดท้ายมีว่า โจทก์ควรได้เงินค่าปรับราคาจำนวนเท่าใดปัญหานี้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแล้วฟังว่า โจทก์ควรได้รับเงินค่าปรับราคาตามสัญญาจ้างเหมาเอกสารหมาย จ.1 จากจำเลยทั้งสามงวดเป็นเงิน 2,458,000 บาท จำเลยไม่ได้ฎีกาคัดค้านว่าคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ในเรื่องนี้ไม่ถูกต้องอย่างไร คงฎีกาโต้เถียงแต่เพียงว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับเงินดังกล่าว และคดีโจทก์ขาดอายุความแล้วเท่านั้น โจทก์จึงควรได้เงินค่าปรับราคาจำนวน2,458,000 บาท ตามที่ศาลอุทธรณ์รับฟังมา
คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว ฎีกาจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 50,000 บาทแทนโจทก์”

Share